ฉันเปลี่ยนตัวเองจาก shopaholic มาเริ่มเก็บเงินได้อย่างไร

Pui Sasakorn
2 min readSep 25, 2018

--

ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันมีนิสัยเสียเรื่องการใช้จ่ายมาตลอด ยิ่งพอทำงานมีเงินเป็นของตัวเองก็ยิ่งเสียหนักกว่าเก่า ที่ผ่านมาหลายปี ฉันอาจจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็เรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นคนใช้เงินเก่งมากถึงมากที่สุด เป็น Shopaholic ตามใจตัวเองเรื่องการซื้อของตลอดเวลา และเป็นสายเปย์ที่แท้ทรู (โดยเฉพาะเวลาบ้าของอะไรเป็นพักๆ)

ถ้าจะนึกภาพให้ออกคงต้องบอกว่า มีบางช่วงที่ฉันบ้า Adidas Slipon ในตู้รองเท้าที่บ้านก็จะมีรองเท้าสลิปออน คือแบบที่หน้าตามันเหมือนกันเปี๊ยบ ต่างกันแค่สี อยู่ประมาณ 5 คู่ ถ้าช่วงไหนบ้ากระเป๋าวายู ฉันก็มีเป็น 40 ใบต่างกันแค่ลายถัก ช่วงที่บ้าผ้าไทย ก็ซื้อรัวๆ อาทิตย์ละหลายผืน แค่แป๊บเดียวฉันก็มีผ้าไทยอยู่ 50–60 ผืนได้ จนตู้ไม่พอเก็บ

ค่ะ ของทุกอย่างถูกสั่งออนไลน์ประมาณ 95% และถูกส่งมาทางไปรษณีย์ จ่าหน้าเป็นที่อยู่ออฟฟิศ ฉันมีกล่องไปรษณีย์ส่งมาถึงที่ทำงานทุกวัน บางวันก็หลายกล่อง จนชักเกรงใจน้องที่ช่วยรับของแทนให้มากๆ

สาวๆ ที่ติดการ Shopping Online คงจะเข้าใจความรู้สึกพองฟู เวลามีกล่องไปรษณีย์มาถึงมือ หรือเวลา Kerry โทรมาบอกว่าจะมีของมาส่งดี บางทีมันก็จะมีอาการเฝ้ารอเล็กๆ ตื่นเต้นหน่อยๆ โดยเฉพาะเวลาได้แกะกล่อง และดื่มด่ำกับข้าวของที่เพิ่งมาถึง

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่บริษัทของฉันเชิญคุณเอ ศักดา เจ้าของเว็บ A-Academy ที่ช่วยให้ความรู้เรื่องการเงินสำหรับคนทั่วไปเข้ามาบรรยายเรื่อง Financial Foundation ให้กับพนักงาน ฉันเป็นคนหนึ่งที่สมัครเข้าไปฟัง และรู้สึกเหมือนถูกเขย่าตัวแรงๆ ในวันนั้น

ใครไม่มีโอกาสฟังคอร์ส สามารถฟังออนไลน์ได้ที่นี่ https://www.youtube.com/playlist?list=PLzNZumObc8XueeBnf5wZ81EQRXarkhE_z

ฉันเพิ่งรู้สึกตัวในวันนั้นว่าฉันขาดวินัยในการใช้เงินอย่างมาก เช่น

  • จริงๆ แล้วฉันใช้เงินเกินที่หามาได้หลายต่อหลายเดือนโดยไม่รู้ตัว เพราะฉันมีเงินเก็บ เวลาอยากได้อะไร ฉันก็ใช้บัญชีเงินเก็บจ่าย
  • ฉันอาจจะมีแอพบันทึกค่าใช้จ่ายติดมือถืออยู่ แต่ฉันก็มักหยวนตัวเองเวลาซื้อของชิ้นใหญ่ๆ หรือช่วงที่ในแอพเริ่มโชว์ค่าติดลบ คือยังซื้อเหมือนเดิม แต่ไม่บันทึกลงแอพเอาง่ายๆ อย่างนั้นแหละ
  • ฉันเคยคิดว่าฉันอยากรีไทร์ตอนอายุเท่าไหร่ ควรมีเงินเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยวางแผนว่าจากเงินตอนนี้ ฉันจะมีเงินเท่าที่คิดไว้ในตอนอายุเท่านั้นได้ยังไงบ้าง

หลังจากวันนั้น ฉันก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการ…

  • บันทึกค่าใช้จ่ายในแอพเดิมอย่างจริงจัง ลงทุกค่าใช้จ่าย ไม่อนุญาตตัวเองให้แอบซื้อโน่นนี่โดยไม่บันทึกอีกต่อไป ถ้าติดลบ ก็ตัวแดงกันจะๆ ให้เห็นนั่นแหละ (คือในแอพติดลบ แต่เงินในบัญชีก็ยังมีนะ ที่ผ่านมาก็เลยค่อนข้างลั้ลลามาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรับการใช้จ่ายไม่ได้ซักที)
  • ฉันกด Unlike, Unfollow ร้านต่างๆ ใน IG และเฟซบุ๊คออกบางส่วน (ตอนแรกเอาออกหมดเลย แต่เอาจริงๆ คือจำชื่อร้านได้ไง สุดท้ายก็ยังเข้าไปอยู่ดีอ่ะ 555)
  • กำหนดโควต้าให้ตัวเอง เช่น จะซื้อรองเท้าไม่เกินสองเดือนคู่ เสื้อผ้าไม่เกินเดือนละกี่ตัว แล้วก็จริงจังกับโควต้าตัวเอง ฉันใช้วิธีจดไว้ในโน้ตว่าเดือนนี้ซื้ออะไรไปตามโควต้า ราคากี่บาท (แม้จะอยากได้ของเพิ่ม ก็หักใจเอาไว้ บอกตัวเองว่า อ่ะ ถ้าอยากได้รองเท้า ก็เซฟรูปไว้ก่อน อีกไม่กี่วันจะขึ้นเดือนใหม่แล้วนะ)
  • เวลาอยากช้อปมากๆ ฉันจะกด add cart ในแอพช้อปปิ้ง แล้วทิ้งไว้อย่างนั้น 1–2 วัน โดยไม่กด check out บางทีผ่านไปวันสองวัน ความอยากก็น้อยลงหน่อย ถ้ายังอยากอยู่ แปลว่าอยากได้จริงๆ ก็ค่อยกดซื้อ (เพื่อนผู้บ้าช้อปเช่นกันเป็นผู้แนะนำวิธีนี้มาให้)
  • ฉันแยกบัญชีทุกอย่างอย่างจริงจัง (ตามหลักการของคุณเอ) คือ บัญชี safety (บัญชีปลอดภัยเผื่อฉุกเฉินให้อยู่ได้ 3–6 เดือน ส่วนนี้ขอให้เก็บลืม คือ ให้ลืมไปเลยว่ามีเงินก้อนนี้อยู่ มันจะถูกเอามาใช้ตอนฉุกเฉินเท่านั้น) มีบัญชีเงินออม (คือเงินส่วนที่คัดออกมาว่าจะต้องจ่ายพวกค่าเบี้ยประกันต่างๆ ซื้อ LTF, RMF ของแต่ละปี เป็นเงินเก็บที่คำนวณไว้แล้วว่าจะต้องใช้ และตัดออกมาจากบัญชีเงินเดือนทันทีที่เงินเดือนเข้า) มีบัญชีท่องเที่ยว (ปกติฉันจะเก็บบัญชีนี้รวมกับบัญชีเงินออม คือโอนออกมาจากเงินเดือนเลยทุกสิ้นเดือน แต่ถึงเวลาปรากฏว่ามันผสมกันมั่ว จนไม่รู้โควต้า ว่าสรุปเป็นเงินส่วนไหนเท่าไหร่ เลยแยกบัญชีกันซะเลยง่ายดี)
  • ฉันทำประกันสุขภาพที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง และเบี้ยที่พอจ่ายได้ ตามหลักการของคุณเอ นี่คือการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่จำเป็นอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมาฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ เพราะที่บริษัทมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว แถมมีบัตร BUPA ให้ด้วย แต่พอมาดูจริงจัง ถ้าหากเข้ารักษาตัวใน รพ.เอกชนทุกวันนี้ คือไม่พอ ฉันเลยเลือกแผนประกันที่ค่าห้อง ค่าผ่าตัดต่างๆ ครอบคลุม รพ.เอกชน ได้ประมาณนึงขึ้นมา
  • ของบางอย่างที่ฉันมักชอบซื้อ ฉันจะบันทึกลงในแอพ Sortly ซึ่งมันจะแยกหมวดของได้ และใส่ราคาได้ มันจะทำให้คุณรู้ว่า ตอนนี้คุณมีของสิ่งนี้ทั้งหมดกี่ชิ้น รวมเป็นราคากี่บาท เช่น รองเท้า กระเป๋า ถ้าเห็นเงินรวมก้อนใหญ่ๆ อาจทำให้คุณฉุกคิดก่อนใช้จ่ายได้มากขึ้น (จริงๆ ฉันใช้แอพนี้มาสักพักแล้ว เพราะจะเอาไว้บันทึกของที่ซื้อมา เผื่อไว้ตอนที่เบื่อแล้วอยากขายของชิ้นนั้น จะได้มีภาพ หรือข้อมูลราคาตอนซื้อเอาไว้อ้างอิงได้)
  • ฉันพาตัวเองไปเรียนคอร์สต่อเนื่อง เกี่ยวกับเรื่องการลงทุน เพื่อต่อยอดเงินเก็บให้งอกเงยอย่างเป็นระบบมากขึ้น หลังจากนี้ฉันคงมีแผนที่ชัดเจน เช่น ฉันมีเวลา 10 ปี ในการทำเงินก้อนปัจจุบัน ให้เป็นเงินมูลค่าตามเป้าหมายความฝัน ซึ่งควรจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ x% ซึ่งในแผนการลงทุนนั้น ฉันจะลงทุนกับสินทรัพย์อะไรบ้าง และคอยตรวจเช็คสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ

เอาจริงๆ เวลาที่ฉันปรับเปลี่ยนตัวเองเพิ่งผ่านมา 2 เดือนเท่านั้น แต่ฉันค่อนข้างภูมิใจกับจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด เงินแต่ละส่วนเป็นระบบระเบียบมากขึ้น รู้ว่าเงินเดือนทั้งหมดเมื่อตัดสิ่งต่างๆ ที่ควรจ่าย และเงินออมแต่ละส่วนออกไปแล้ว ฉันเหลือใช้จ่ายได้เท่าไหร่ และใช้แบบไม่ติดลบอีก

หวังว่าชาว Shopaholic หลายๆ คนที่อาจมีโอกาสอ่านบทความนี้ จะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่ออนาคตที่ดีขึ้นได้ในเร็ววันนะคะ หลังจากทดลองผ่านมาด้วยตัวเองแล้ว ฉันค้นพบว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ วินัยในตัวเอง และ Willpower ส่วนตัวในการปรับเปลี่ยนตัวเองค่ะ

May the willpower and discipline be with everyone นะคะ

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

No responses yet