Book review : ไม่ต้องชอบขี้หน้า ก็ทำงานด้วยกันได้!
ชื่อหนังสืออาจจะดูแรงไปนิด แต่ก็ชวนสะดุด เรียกความสนใจได้ดี ผู้เขียนเป็นโค้ชในเรื่องการสื่อสารของญี่ปุ่น ที่ทำงานด้านนี้มามากกว่า 10 ปี พออ่านดูแล้วก็ได้พบว่า หลายๆ เรื่องที่ถูกพูดถึงในหนังสือ เป็นทักษะพื้นฐานจากคอร์สจำพวก Life Coaching (ใครเคยเรียน Life Coaching อาจจะรู้สึกคุ้นๆ ตอนอ่านเล่มนี้อยู่บ้าง)
จุดน่ารักของหนังสือเล่มนี้คือ อ่านง่ายด้วยภาษาและการแปลที่ค่อนข้างโอเค คั่นระหว่างบทจะมีการ์ตูนน่ารักๆ ชวนอ่าน มีการยกตัวอย่างในเล่มเป็นระยะๆ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้บางบทจะมีแบบสอบถามหรือแบบทดสอบให้เราสำรวจตัวเองด้วย
ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจจากเล่มนี้ ดังนี้ (เช่นเคยนะคะ ถ้าอ่านเองทั้งเล่ม ก็จะอินในภาพรวมมากกว่า)
- โดยทั่วไปแล้ว รอบตัวเราจะมีคนที่เรารู้สึกว่าเข้ากันได้ดีจังเลย อยู่ราว 20% คนที่เฉยๆ 60% และคนที่เข้ากันไม่ค่อยจะได้อีก 20% ผู้เขียนเรียกสิ่งนี้ว่า “กฎของจักรวาล” ค่ะ
- ที่ไหนๆ กฎของจักรวาลนี้ก็เป็นสากล เพราะฉะนั้นถึงคุณจะรู้สึกขัดใจกับที่ทำงานปัจจุบัน แต่พอย้ายที่ทำงานใหม่ คุณก็หนีไม่พ้นกฎนี้อยู่ดี สมัยเรียนเราอาจจะเลือกคบเพื่อนได้ แต่ในชีวิตการทำงาน เราเลือกเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือลูกน้องไม่ได้ เพราะฉะนั้นการหาวิธีอยู่กับคนอื่นอย่างสบายใจน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
- แต่ละคนก็มี “รูปแบบพฤติกรรม” ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงรูปแบบความคิด และความรู้สึกด้วย (เช่น บางคนเป็นพวกชอบมองไปในอนาคต แต่บางคนแฮปปี้กับ ณ ปัจจุบันมากกว่า) เราไม่อาจตัดสินได้ว่าแบบไหนดีกว่าแบบไหน
- ยกตัวอย่างรูปแบบให้เห็นชัดๆ เช่น ถ้าให้คุณประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน บางคนก็จะเอานิ้วโป้งซ้ายไว้ด้านบน บางคนก็เอาข้างขวาไว้ด้านบน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความเคยชิน ไม่มีอันไหนถูกหรือผิด แต่พอเรารู้แล้ว เราก็จะบังคับให้ตัวเองทำสิ่งที่ไม่ถนัดได้บ้าง
- ถ้าเราค่อยๆ เรียนรู้และสังเกตรูปแบบพฤติกรรมของเราเองจนเข้าใจ เราก็จะมีความเข้าใจในลักษณะนิสัยของคนอื่นๆ มากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเราเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว เราก็จะสามารถเลือกรูปแบบอื่นๆ (ที่เราอาจจะไม่ถนัด) ไปใช้ได้ในแต่ละเวลาอย่างเหมาะสม
- โดยปกติคนทั่วไปชอบตัดสินว่า ดี ไม่ดี ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง จนเคยชิน และมักจะพยายามยัดเยียดเอาความถูกต้องในแบบของเราไปตัดสินคนอื่นเสมอ สิ่งที่เราทำได้ เพื่อให้เราอยู่กับคนหลากหลายได้อย่างสบายใจขึ้น คือ การยอมรับว่าคนอื่นแตกต่างจากเรา หยุดไว้แค่การรับรู้ถึงความแตกต่างนั้น โดยไม่ไปตัดสินว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี
- คนเราทุกคนล้วนมองหาการยอมรับในตัวตนของเราจากผู้อื่น เพราะฉะนั้นการยอมรับในตัวตนจึงเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอมรับที่ Being หรือตัวตนจริงๆ ของเค้า โดยไม่ได้สนใจสิ่งที่เค้ามี หรือการกระทำอื่นๆ
- ในการทำงานเราอาจจะเจอลูกน้องที่ยังทำได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังบ้าง จนรู้สึกมองเห็นแต่ส่วนแย่ไปหมด ถ้าเราเริ่มมองเห็นส่วนดีด้านอื่นๆ และแสดงให้เค้าเห็นว่าเรายอมรับตัวตน หรือมองเห็นด้านอื่นที่ดีๆ ของเค้าได้ ก็อาจเป็นขั้นแรกในการช่วยแก้ปัญหาให้ลูกน้องได้ค่ะ
- การยอมรับตัวตน หรือการแสดงความใส่ใจ อาจจะมีตั้งแต่การเอ่ยทักทายก่อน การเอ่ยชื่อคนคนนั้น แต่ที่ทรงอานุภาพที่สุด คือ คำขอบคุณ เพราะคำขอบคุณเป็นการแสดงว่าเรารับรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่คนคนนั้นทำ
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเรา มีอยู่แค่ 2 แบบ หนึ่งคือ เปลี่ยน “เมื่อมีเป้าหมาย” อีกแบบคือ เปลี่ยน “เมื่อเกิดวิกฤต” ค่ะ หลักๆ คือ คนเราจะยอมทำอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อ “รู้สึก” เท่านั้น โดยการทำให้รู้สึกนั้นอาจจะเริ่มจากการแสดงการยอมรับตัวตนของคนคนนั้นออกมาก่อน
- ถ้าเรามองไปที่เป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้ บางทีเราก็จะยอมปิดสวิตช์โหมดบางโหมดของตัวเราได้ เช่น ปกติเราเป็นคนชอบเป็นจุดศูนย์กลางของงาน แต่ครั้งนี้ถ้าต้องการให้งานสำเร็จ เราอาจจะต้องยอมให้อีกคนมานำและทำมากกว่า เป็นต้น
- ในโลกของการทำงานนี้ไม่มีคำว่า “คนดี” หรือ “คนไม่ดี” มีแต่ “คนที่โอเคกับเรา” หรือ “คนที่ไม่โอเคกับเรา” เท่านั้น
- เราสามารถเพิ่มพลังใจให้คนในทีมได้ด้วยวิธีที่ง่ายมากๆ นั่นคือ การชมผ่านคนอื่น
- คนส่วนใหญ่มักจะกังวลกับจุดอ่อน หรือส่วนที่เราขาด เอาจริงๆ เราไม่ควรสนใจกับส่วนที่เราขาดค่ะ แค่ยอมรับมันให้ได้ก็พอว่าเราขาดสิ่งนี้ ไม่เก่งเรื่องนี้ เมื่อเรายอมรับมันได้ เราก็จะหาวิธีมาจัดการมันได้ในที่สุด
- ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าได้ใช้จุดแข็งหรือพรสวรรค์ของตัวเองอย่างเต็มที่หรือยัง หรือมัวแต่โอดครวญถึงความไม่เอาไหนของตัวเองอยู่ มีแต่ความพยายามที่จะเติมเต็มช่องว่างที่พร่องไปของตัวเองอยู่
- จำไว้ว่า การ “มโน” เป็นการเสียพลังงานไปเปล่าๆ
- เวลาคนอื่นตอบ YES หรือ NO กับเรา เดี๋ยวอีกฝ่ายจะเป็นคนตัดสินเอง เราไม่จำเป็นต้องไปคิดแทน คิดไปเอง หรือกังวลไปก่อน
- ในโลกนี้มีเรื่องมากมายเหลือเกินที่แม้เราจะใส่ความพยายามลงไปเท่าไหร่ ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าไปเครียดกับเรื่องแบบนี้
- แม้จะรู้สึกขัดแย้ง อยากตอบว่า “แต่…” ก็ขอให้ลองเริ่มด้วย YES, AND… ก่อน เมื่อคุณแสดงท่าทีเข้าใจและค่อยอธิบายเพิ่มเติม อีกฝ่ายจะยอมรับได้มากกว่า
- ความโกรธนั้นคือ “อารมณ์รอง” เบื้องหลังของมันมักมีอารมณ์ที่แท้จริงซ่อนอยู่ ซึ่งสำหรับอารมณ์โกรธนั้น อารมณ์หลักมักจะเป็น ความคาดหวัง ความกังวล และความเศร้า
- และยิ่งเป็นคนใกล้ตัวมากเท่าไหร่ ความโกรธก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามลำดับ
- เวลาล้มเหลวหรือผิดพลาด อย่าถามว่า “ทำไม” ให้ข้ามไปคำถามถัดไปเลยว่า “ครั้งหน้าจะป้องกันได้อย่างไร”
- เวลาเจอปัญหาอะไร ให้คิดโดยแยกสิ่งที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ออกจากกัน อย่ามัวแต่ไปโทษ “สิ่งแวดล้อมและคนอื่นๆ” และอย่ามัวแต่พยายามจะไปควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะนอกจากจะเสียพลังงานแล้วก็จะเป็นทุกข์ไปเปล่าๆ ด้วย
เรื่องแบบนี้ตอนอ่านน่ะง่าย แต่ตอนจะทำจริง ยากมากค่ะ
แต่จะยากแค่ไหน ถ้าเราลองใส่ใจที่จะเริ่มต้นก็ถือเป็นจุดดีๆ ในการเริ่มเปลี่ยนแปลงนะคะ หวังว่าทุกคนจะอยู่กับคนหลากหลายประเภทได้อย่างสบายใจมากขึ้นค่ะ