Book Conclusion : The Culture Code (2)
หนังสือเล่มนี้ case study เยอะมากๆ ค่ะ ซึ่งถ้าใครชอบอ่านเคส หรือมีการยกตัวอย่างให้เห็นน่าจะชอบเล่มนี้มากๆ เรามาต่อกันที่เคสต่อไปกันเลย
มีการศึกษาทดลองที่ WIPRO call center ในประเทศอินเดีย ซึ่งนับเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากๆ ถ้าวัดตามมาตรฐานทั่วไปแล้ว ที่นี่ก็นับเป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วย แต่ผลกลับกลายเป็นว่าจำนวนคนลาออกนั้นมีมากถึง 50–70% ต่อปีเลยทีเดียว
หลังจากพยายามหาสาเหตุ สุดท้ายทางบริษัทก็ได้ทำการทดลองด้วยการแบ่งกลุ่มคนที่เข้าทำงานใหม่หลายร้อยคนออกเป็น 2 กลุ่ม ทั้งสองกลุ่มได้รับการ orientation เหมือนกันหมด แต่กลุ่มแรกมีการเพิ่มชั่วโมงอบรมพิเศษเกี่ยวกับความเป็น WIPRO คนในกลุ่มแรกจะได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จของบริษัท ได้ฟังพนักงาน star performer มาพูด และตอบคำถามเกี่ยวกับความประทับใจแรกพบกับบริษัท เมื่อจบชั่วโมง คนกลุ่มแรกจะได้รับเสื้อแจ็กเก็ตปักชื่อบริษัท
ในขณะที่คนกลุ่มสอง มีการเพิ่มชั่วโมงอบรมพิเศษเหมือนกัน แต่ในการอบรมพิเศษนั้นไม่ได้โฟกัสไปที่บริษัท แต่โฟกัสไปที่พนักงานแทน พวกเขาจะถูกถามว่าอะไรที่ทำให้พวกเขามีความสุขที่สุด และทำงานได้ดีที่สุด มีการทำแบบทดสอบสั้นๆ ให้พวกเขาจินตนาการว่าถ้าพวกเขาหลงทางอยู่กลางทะเล อะไรคือทักษะสำคัญที่ควรนำมาใช้ในสถานการณ์นั้น ในตอนจบชั่วโมง คนกลุ่มสองจะได้รับเสื้อแจ็กเก็ตปักชื่อบริษัท โดยข้างๆ นั้นมีชื่อพวกเขาอยู่ด้วย
ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้หวังอะไรมาก และไม่คิดว่าจะมีความแตกต่างมากมายอะไร แต่เมื่อ 7 เดือนผ่านไปและตัวเลขออกมา พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า คนกลุ่มสองนั้นยังคงทำงานอยู่ที่ WIPRO มากกว่ากลุ่มแรกถึง 250%
และเมื่อพวกเขาไปสัมภาษณ์พนักงานในกลุ่มสองที่ยังอยู่ พวกเขาก็พบว่าสิ่งที่พนักงานตอบนั้นก็คล้ายๆ กับความรู้สึกของดีน (ที่กูเกิ้ล) คือ พวกเขาไม่ได้จำเรื่องราวในวันปฐมนิเทศได้มากมายนักหรอก แค่จำได้ว่ารู้สึกได้รับแรงบันดาลใจมากๆ เท่านั้น
ในเมื่อเรารู้แล้วว่ามันดีแล้วเราก็คงมีคำถามตามมาว่า แล้วเราจะสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้ยังไง
เคสนี้เป็นเรื่องของทีมบาสเกตบอล Spur ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของโค้ช Gregg Popovich ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเป็น the relationship maker ของทีม แต่ในขณะเดียวกัน Popovich ก็ได้ฉายาว่า Volcanic จากความเลือดร้อน ใจร้อน และระเบิดอารมณ์ใส่ผู้เล่นในทีมอยู่บ่อยครั้ง
Spur ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ผู้เล่นไม่มีความเห็นแก่ตัว และเล่นเป็นทีมอย่างแท้จริง ส่งบอลให้เพื่อนในทีมในเวลาที่ควรส่ง ไม่ยึดบอลไว้เอง (มีผลการศึกษามูลค่าของเกม NBA และผู้เล่น โดยพบว่าผู้เล่นที่ชู้ตลูกได้จะได้ค่าตัวเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ผู้เล่นที่ส่งบอลให้คนอื่น แทนที่จะชู้ตเอง มักมีแนวโน้มค่าตัวลดลง)
ถามว่า Spur เลือกคัดตัวผู้เล่นที่ไม่เห็นแก่ตัวเข้ามาตั้งแต่แรกงั้นเหรอ ถึงได้สร้างทีมแบบนี้ได้ คำตอบคือ ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ Spur เป็นต่างหากที่ผลักดันให้ผู้เล่นนั้นเล่นกับทีมแบบไม่เห็นแก่ตัว และ Popovich ก็คือปัจจัยสำคัญที่ว่า
เราจะเห็นภาพ Popovich ทักทายกับผู้เล่นทุกๆ คน สัมผัสตัว เล่นงัดข้อ ตบหลังตบไหล่ หัวเราะด้วยกันอยู่เสมอ หลายครั้งก็ทักทายกันในภาษาต่างๆ (Spur มีผู้เล่นหลากหลายถึงจาก 7 ประเทศด้วยกัน)
Popovich มักชวนผู้เล่นนั่งดูสารคดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่การดูเกมการแข่งขันของทีมตัวเองหรือคู่แข่ง แล้วถกกันเรื่องความคิดเห็นว่า คุณคิดยังไงกับสถานการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามในซีเรีย, การเปลี่ยนแปลงการปกครองในอาร์เจนตินา, การแต่งงานของเพศเดียวกัน ไปจนถึงเรื่องกฎหมายการเลือกตั้ง สิ่งที่ Popovich พยายามสื่อสารคือ มันมีเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องบาสเก็ตบอลเยอะแยะมากมายที่เราสามารถเชื่อมโยง connect กันได้
ลองดูสิ่งที่ผู้ช่วยโค้ชคนหนึ่งเคยพูดถึง Popovich แล้วคุณจะเข้าใจความเป็นเขามากขึ้น
“คุณอาจกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน แล้วอยู่ๆ ก็มีหนังสือพิมพ์หล่นปุลงมาบนตัก คุณเงยหน้าขึ้นไป แล้วจะพบว่านั่นคือ Pop เขาจะวงบทความเกี่ยวกับบ้านเกิดของคุณบนหน้าหนังสือพิมพ์ และอยากรู้ว่าสิ่งที่เขียนไว้ในบทความนั่นมันถูกต้องไหม เขาจะถามคุณว่าคุณชอบกินอะไร ที่ไหน ไวน์ชนิดไหนที่คุณชอบดื่ม แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จะแนะนำร้านที่คุณน่าจะชอบ เขาจะจองที่นั่งให้คุณและแฟนของคุณที่ร้านนั้นด้วยซ้ำ หลังจากนั้น เขาก็จะอยากรู้ว่ามื้อนั้นเป็นไงบ้าง คุณสั่งไวน์อะไร อาหารอะไร แล้วเขาก็จะแนะนำที่ใหม่ๆ มาอีก เป็นแบบนี้ไม่รู้จบ”
นี่แหละความเป็น Popovich ที่ผูกทีม Spur เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
สิ่งหนึ่งที่มักเป็นความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรที่ดีคือ ทุกคนจะต้องมีความสุข และเป็นที่ที่สนุกสนานเบิกบานใจ แต่ความจริงแล้วส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนั้น พวกเขาต้องมีพลังและมีความเชื่อมโยงกันต่างหาก พวกเขาสนใจในการแก้ปัญหายากๆ ร่วมกันมากกว่าแค่การมีความสุขด้วยกัน ซึ่งการจะเป็นแบบนั้นได้อาจจะมีทั้งการให้ฟีดแบ็ค การบอกความจริงที่ไม่ใช่ข่าวดี การต้องเผชิญหน้ากับช่องว่างของสิ่งที่กลุ่มเป็นอยู่กับสิ่งที่กลุ่มอยากจะเป็น เหมือนอย่างตอนที่ Larry Page แปะโน้ตบนตู้เย็นว่า โฆษณาพวกนี้มันห่วย หรือตอนที่ Popovich ฟีดแบ็คผู้เล่นของเขาในทุกๆ วันด้วยเสียงดังสไตล์เขา
แล้วผู้นำเหล่านี้ให้ฟีดแบ็คที่ทั้งโหด ทั้งยาก ทั้งจริงสุดๆ แบบนี้ได้โดยไม่เกิด side effect ที่ไม่ดีอีกด้าน ได้อย่างไรกันล่ะ
ทีมวิจัยได้ศึกษานักเรียนมัธยมที่ได้รับงานให้เขียนเรียงความและได้ feedback จากครูไป พบว่ามีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่หลังได้รับ feedback แล้วทำผลงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมากๆ เพราะฟีดแบ็คเหล่านั้น มีประโยคเหล่านี้อยู่
“ครูให้คอมเมนต์พวกนี้กับเธอ เพราะครูมีความคาดหวังที่สูงมากๆ และครูรู้ว่าเธอจะทำมันได้”
ข้อความเหล่านี้ได้ส่ง belonging cue เป็นนัยๆ ไปยังผู้รับ โดยมีสารสำคัญ 3 ส่วนคือ
- คุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้
- กลุ่มนี้มีความพิเศษ พวกเรามาตรฐานสูง
- ฉันเชื่อว่าคุณจะสามารถทำได้ตามมาตรฐานนั้น
สัญญาณเหล่านั้นบ่งบอกสารที่ชัดเจนอันหนึ่งเข้าสู่สมองส่วนจิตใต้สำนึกของเราว่า ที่นี่ปลอดภัยที่เราจะลงทุนใส่ความพยายามลงไป
ถ้าจะลองวิเคราะห์ดู การสื่อสารของ Popovich นั้นประกอบด้วย belonging cue 3 ส่วนด้วยกันคือ
- การเชื่อมโยงแบบส่วนตัวและสนิทสนม (สัมผัสทางกาย ความใส่ใจต่างๆ ที่สื่อว่า ฉันใส่ใจคุณ)
- การฟีดแบ็ค performance (ซึ่งแปลความได้ว่า พวกเรามีมาตรฐานสูง)
- มุมมองต่อเรื่องที่ใหญ่ๆ (เช่น การคุยกันเรื่องการเมือง ประวัติศาสตร์ ซึ่งสื่อว่า ชีวิตนั้นมีอะไรใหญ่กว่าบาสเก็ตบอลอีก)
ส่วนถัดไป (บทที่ 6) พูดถึงเรื่องของการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในแบบนำไปปฏิบัติได้จริง ผู้เขียนเน้นย้ำว่าเรื่องนี้ก็เหมือนการเรียนรู้การส่งต่อบอล คุณจำเป็นต้องเรียนรู้แพทเทิร์นให้เป๊ะ ต้อง react อย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณที่ถูกต้องออกไปในเวลาที่ถูกต้องด้วย เรียกว่าต้องเอาไปปฏิบัติประยุกต์กับสถานการณ์จริงๆ ซึ่งมันไม่ง่ายเหมือนแค่ในทฤษฎีแน่ ต่อไปนี้คือ tips เล็กๆ น้อยๆ สำหรับการ build safety ภายในองค์กรของคุณ
- overcommunicate your listening แสดงทีท่าอยากฟังเป็นพิเศษ ในวัฒนธรรมที่ประสบความสำเร็จ ผู้ฟังส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ฟังตาไม่กะพริบ สีหน้าสนใจ ไปจนถึงการส่งเสียงตอบรับตลอดการฟัง
- spotlight your fallibility early on — especially if you’re a leader คนเรามีแนวโน้มที่จะปกปิดความอ่อนแอ หรือจุดอ่อนของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าคุณเป็นผู้นำคุณอาจต้องเริ่มเปิดสิ่งนี้ออกมาก่อน เช่น การพูดว่า “ผมอาจจะผิดก็ได้” “ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า”
- embrace the messenger เคยมีประโยคว่า don’t shoot the messenger คืออย่าเอาเรื่องแย่ๆ ไปลงกับผู้ส่งสาร แต่แค่นี้นั้นไม่พอ คุณควรแสดงให้เห็นว่าการบอกข่าวร้าย หรือกล้าบอกฟีดแบ็คที่แย่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ควรได้รับการยกย่อง โอบกอด และคุณต้องการสิ่งนั้นจริงๆ
- preview future connection แสดงให้ทีมเห็นความเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันนี้กับอนาคต
- overdo thank-yous พูดขอบคุณกันบ่อยๆ
- be painstaking in a hiring process การคัดคนเข้า หรือเอาคนออก ก็เป็นการส่งสัญญาณต่อทีมประเภทหนึ่ง บางทีมมีกระบวนการรับคนค่อนข้างเข้มข้นยาวนาน แสดงถึงความใส่ใจในเรื่องนี้ หรืออย่างที่ Zappos มีการให้เงิน 2,000$ กับ trainee ที่ฝึกงานเสร็จแล้วอาจไม่อยากทำงานต่อ (ซึ่งมีคนประมาณ 10% รับข้อเสนอนี้ไป)
- eliminate bad apples กำจัดคนที่มีพฤติกรรมไม่ดีออกไป
- create safe, collision-rich space สร้างพื้นที่พบปะในหมู่สมาชิกให้มากขึ้น เช่น ออฟฟิศบางแห่งเปลี่ยนโต๊ะ 4 ที่นั่งในโรงอาหาร เป็นโต๊ะ 10 ที่นั่ง
- make sure everyone has a voice เรื่องนี้พูดง่าย ทำยาก เพราะฉะนั้นหลายๆ องค์กรจึงอาจมีกฎบางอย่างมาเป็นตัวช่วย เช่น การประชุมจะจบลงไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ได้พูดกันให้ครบ หรือผู้นำบางองค์กรอาจจัด one on one session กับพนักงานทุกคนทุกระดับ
- pick up trash การทำในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงว่าผู้นำกำลัง serve คนของเขาอยู่ เช่น ผู้นำของแมคโดนัลด์ที่เก็บขยะ ถ้วยหรือกระดาษห่อ กระทั่งทำความสะอาดให้พนักงานเห็น หรือบางองค์กรอาจใช้ความเสมอภาค เช่น ไม่มีที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น
- capitalize on threshold moment ใช้ช่วงเวลาเริ่มต้นให้เป็นประโยชน์ ช่วงแรกในการพบกันนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คนมักจะตัดสินความประทับใจจากช่วงแรกนี้เสมอ อย่างเช่นที่ pixar ถ้าคุณได้เข้าไปทำงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ หรือเป็นบาริสต้าของโรงอาหารบริษัท วันแรกที่เข้าทำงาน คุณจะได้เข้าไปในห้องโรงหนังจำลอง คุณจะได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งในที่นั่งแถวที่ 5 (เพราะว่านั่นเป็นที่นั่งที่ผู้กำกับมักจะนั่ง) และจากนั้นคุณก็จะได้ยินประโยคที่ว่า “ไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรมาก่อน แต่ ณ ตอนนี้คุณเป็น filmmaker แล้ว และเราต้องการให้คุณช่วยให้เราทำหนังของเราให้ดีขึ้นๆ”
- avoid giving sandwich feedback ผู้นำขององค์กรส่วนใหญ่มักให้ฟีดแบ็คโดยขึ้นด้วยการชม พูดถึงส่วนที่อยากให้ปรับปรุง และจบลงด้วยการชมอีกรอบ ซึ่งทำให้คนฟังสับสน วัฒนธรรมขององค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โดย negative feedback อาจจะถูกให้ผ่านการถามจากคนที่ต้องการฟีดแบ็ค หรืออาจจะเป็นการพูดคุยกันแบบสองทาง ส่วน positive feedback นั้นจะถูกพูดถึงหรือเอ่ยชมทันทีที่มีการสังเกตเห็น หรืออาจมีกระบวนการเล็กๆ น้อยๆ ทำให้คนคนนั้นรู้สึกพิเศษขึ้นด้วย
- embrace fun แน่นอนว่าเสียงหัวเราะนั้นทำให้พื้นที่นั้นๆ รู้สึกปลอดภัยขึ้นอยู่เสมอ