Book Review : ปีแสง ของดุจดาว วัฒนปกรณ์ ประสบการณ์ที่ช่วยให้เราเรียนรู้วิธีโอบกอดอัปลักษณ์ของตัวเอง

Pui Sasakorn
2 min readDec 25, 2019

--

ไม่บ่อยนักที่ฉันจะหยิบหนังสือประสบการณ์ชีวิตของใครสักคนขึ้นมาอ่าน (แบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ, นวัตกรรม, ทักษะผู้นำ) แต่ปีแสง ผ่านเข้ามาในสายตา เพราะรีวิวโดยนิ้วกลม ของ The Curator

ใช่ รีวิวดีๆ ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งโดดเด่น น่าอ่านขึ้นมาเสมอ โดยเฉพาะข้อ 9 นี้ โดนใจฉันเป็นพิเศษ เพราะกำลังตรงกับความรู้สึกในวันนั้น

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณจะได้เห็นว่าคำพูดคำจาของคุณมีผลต่อหัวใจลูกมากแค่ไหน ถ้าคุณเป็นครู คุณจะรู้ว่าคำพูดบางคำของคุณอาจมีผลต่อชีวิตศิษย์สักคนไปนานแสนนาน ถ้าคุณเป็นหมอ คุณอาจตระหนักว่าคำพูดแล้งความใยดีต่อคนไข้ดูดกลืนความหวังและทำร้ายชีวิตคนรอบข้างให้พังลงได้ และไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณจะพบว่าการสื่อสารที่ไร้หัวจิตหัวใจ ไร้ empathy นั้นมีพิษร้ายรุนแรงเกินกว่าที่เคยคิด, และไม่แน่, คุณอาจระวังมันมากขึ้น

“ปีแสง” เป็นบทบันทึกของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ผู้หญิงเก่งที่ฉันชอบฟังเสียงของเธอผ่าน R U OK Podcast ฟังแล้วทำให้มีภาพในหัวว่านี่คือผู้หญิงเก่ง เข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ ที่มีทักษะการสื่อสารดีเยี่ยม

แต่หน้ากระดาษแต่ละหน้าที่ผ่านไป ทำให้ฉันได้เห็นดุจดาวในแง่มุมใหม่ ในแง่มุมของเด็กอืดๆ ที่กินข้าวช้า รักพ่อมากกว่าแม่ โดนครูใช้คำพูดเชือดเฉือน กางปีกกว้างหลุดจากเปลือกดักแด้ตอนได้ไปสเปน ผ่านความรักหลายรูปแบบ ผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้าย ทั้งหมดนี้คือ “มนุษย์” คนหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้ภาษาสวย อ่านง่าย เต็มไปด้วยถ้อยคำแห่งอารมณ์ บางบทอ่านแล้วเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในชีวิตเราเอง บางบทอ่านแล้วเป็นบทเรียนชั้นดี ทั้งหมดร้อยเรียงเพื่อบอกเรา เหมือนที่ดุจดาวเขียนไว้ในบทนำว่า

ถ้าวันนี้ฉันยังไม่สามารถโอบกอดชิ้นส่วนที่ผุพังที่สุดของตัวเองได้
คนอื่นจะรู้วิธีโอบกอดมันได้อย่างไร
และถ้าวันนี้ฉันยังยอมรับส่วนเว้าแหว่งของตัวเองไม่ได้
ฉันจะสามารถยอมรับความเว้าแหว่งของใครได้
ฉันจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้อย่างไร
ถ้าฉันยังไม่สามารถเห็นอกเห็นใจตัวเองได้อย่างอ่อนโยน

ใช่ ฉันเป็นมนุษย์ผู้ทำร้ายตัวเองเก่งที่หนึ่ง ต่อต้านส่วนเว้าแหว่งของตัวเองอยู่ลึกๆ และโอบกอดตัวเองไม่ค่อยจะเป็น คำพูดข้างบนในคำนำจึงสะกิดเตือนได้เป็นอย่างดี ให้ฉันค่อยๆ เปิดหัวใจเรียนรู้ทุกๆ ประสบการณ์ในหนังสือเล่มนี้

มันคงดีที่สุดถ้าคุณได้เปิดอ่านมันด้วยตัวเองตลอดทั้งเล่ม แต่ฉันรีวิวเพื่อบันทึกเศษเสี้ยวบางส่วนที่ตกค้างอยู่ในใจตอนอ่าน บางตอนที่ชอบเป็นพิเศษ บางตอนที่สะกิดใจเป็นพิเศษ บางตอนที่อยากโยนใส่หน้าใครบางคนเป็นพิเศษ

  • เออ แกมันแย่ นี่คือเสียงที่บอกตัวเองลึกๆ และเสียงนี้ก็กำหนดวิถีที่เราเลือกปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต รวมถึงโยนความรู้สึกแย่ออกไปให้คนรอบข้างช่วยแบกรับไว้ โดยไม่ลืมที่จะแนบน้ำเสียงนี้ไปกับแอ็กชั่น เพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกว่า “แกก็แย่เหมือนกัน” “เธอนี่มันแย่มากนะ” “นี่คิดว่าดีแล้วเหรอ” “ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด” ฉันจัดการให้คนอื่นรู้สึกอย่างที่ฉันรู้สึก ตอนนั้นฉันมีปัญญาจัดการมันได้แค่เท่านี้แหละ คนรอบตัวฉันโดนกันถ้วนหน้า… คนที่โดนหนักกว่าใครคือแม่ รับไปเต็มๆ ไม่มีเบามือ
  • “ดุจดาว เธอได้คะแนนน้อยที่สุดในห้องเลยรู้ไหม” ครูย้ำหลายรอบว่าฉันโง่กว่าใครในห้องนี้ โลกในห้องเรียนสำหรับฉันช่างเวิ้งว้างเหมือนจักรวาลมืดดำ พยายามจะทำอะไรมากแค่ไหน ความรู้สึกว่าดีไม่พอและโง่กว่าใครก็ยังเกาะแน่นติดหลัง
  • หนึ่งในพื้นฐานที่นักจิตบำบัดทุกคนต้องเข้าใจให้ถ่องแท้คือ คนเราทุกคนมี ‘ขอบเขต’ พื้นที่ส่วนตัว การเรียนที่นี่คือการทำความรู้จักขอบเขตหรือรั้วบ้านของพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน เพื่อที่จะสามารถรักษาความปลอดภัยตัวเองได้ โดยหยุดหรือปิดกั้นคนที่เราไม่ไว้วางใจไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ของเรา และในขณะเดียวกัน เราจะสามารถรู้จักเคารพรั้วบ้านของพื้นที่ปลอดภัยของคนอื่น… การไม่ปิดประตูเลยก็เป็นตัวเลือกที่เลือกได้ แต่มันไม่ปลอดภัยสำหรับตัวเจ้าของพื้นที่เอง ไม่แฟร์กับตัวเองที่จะยอมให้คนอื่นมาเบียดเบียนขนาดนั้น
  • ช่วงเวลาเรียนที่ลอนดอนทั้งสองปี ชีวิตฉันสะบักสะบอม แต่ขณะเดียวกันก็ละเอียดอ่อนอย่างมหัศจรรย์ ความเข้าใจตัวเองทีละอย่างสองอย่างประกอบร่างเช้าเย็นอยู่ภายในร่างกายและจิตใจ แปลกดี สภาพของฉันตอนออกมาจากห้องบำบัดของจูลี่ทำให้นึกไม่ออกเลยว่าพรุ่งนี้จะมีพลังตื่นขึ้นและออกไปเผชิญกับงานหนักหน่วงได้อย่างไร แต่สุดท้าย..​ฉันก็ตื่น และก้าวออกไปเผชิญทุกสิ่ง ทุกครั้งที่รู้สึกเหมือนจะตาย มันไม่ตายสักทีหรอก
  • เหมือนแจกันที่หล่นแตก พอจะกอบกู้มันขึ้นมาให้พอใช้งานได้ใหม่ ฉันก็มีโอกาสหยิบดูแต่ละชิ้น พิจารณาแต่ละเศษของมันอีกครั้ง ตอนแรกตั้งใจว่าจะเลือกเก็บเฉพาะชิ้นส่วนที่สวยงามกลับมาประกอบเป็นตัวเองใหม่ เราจะได้น่ามอง แล้วเอาเท้าถีบกลบวิถีที่ไม่สวยงามให้หล่นขอบโลกไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็พบว่าเราทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะทั้งหมดนั่นเป็นตัวเรา ถ้าไม่เก็บทุกชิ้นส่วนมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ เราก็จะไม่มีวันสมบูรณ์
  • ถ้าเราอยากให้คนอื่นรับเราได้ทั้งด้านสวยงามและน่าเกลียด เราควรจะรับตัวเองให้ได้เสียก่อน พอตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ฉันเลยต้องมานั่งพลิกดูเศษชิ้นส่วนที่น่าเกลียดพวกนั้นด้วย หยิบดูมันทีละชิ้น ทีละชิ้น… ทำความเข้าใจมัน กอดมัน และนำมันกลับมาประกอบให้ตัวเองใหม่
  • เมื่อรู้สึกไม่มั่นคง ก็ชินกับการถล่มทลายจิตใจคนอื่นให้รู้สึกไม่มั่นคงเหมือนกัน และพอฉันเห็นว่าเขาถูกถล่มเละแล้ว นั่นแปลว่าการสื่อสารของฉันประสบความสำเร็จ ฉันถึงค่อยรู้สึกโล่งขึ้น แต่มันไม่คุ้มกันเลยกับความบาดหมาง ไม่คุ้มกันเลยกับการทำให้คนที่เรารักเสียใจ
  • กลไกป้องกันตัวเองอย่างที่ฉันเป็นโดยอัตโนมัตินี้ มันเรียกว่าการ projection ซึ่งหมายถึงการส่งอารมณ์ที่ไม่ค่อยอยากแบกไว้ไปให้ผู้อื่น และปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนั้นกับตัวเอง และคนที่เรามักจะส่งไปคือคนที่เรารู้สึกปลอดภัยด้วย ซึ่งคนที่มักจะซวยก็คือแม่กับสามี
  • ทุกชีวิตไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม เราน่าเกลียดมากน้อยต่างกัน แต่เราล้วนมีบางมุมที่น่าชิงชัง และเราล้วนตกเป็นทาสความอัปลักษณ์ที่สะสมไว้เองเสมอ ในฐานะนักจิตบำบัด เวลาทำงาน ฉันจะให้ผู้เข้าร่วมบำบัดแต่ละคนค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างอ่อนโยน โอบกอดทุกอณูอันเว้าแหว่งและขาดวิ่นในตัวเองให้ได้ มันเป็นหนทางเดียว ไม่มีหนทางอื่น โอบกอดมันไว้จนกว่าวันหนึ่งเราจะมองเห็นว่า ความน่าเกลียดนั้นก็สะท้อนชีวิตเราได้เช่นเดียวกับความงาม และเมื่อนั้นเราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเป็นอิสระ ฉันจะบอกพวกเขาว่ามันไม่ง่ายหรอก ฉันรู้…​ฉันรู้… เพราะฉันเองก็พยายามอยู่เหมือนกัน

ปีแสงช่วยเตือนให้ฉันกลับไปคิดถึงคำว่า empathy ให้มากๆ แม้แต่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด แน่นอนว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจ แต่ชีวิตจะค่อยๆ เรียนรู้และพาเราไปอยู่ในจุดที่ดีสำหรับเราเอง ฉันเชื่อแบบนั้น

ฉันเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการในการเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าชีวิตเรามีทั้งด้านดีและแย่ ฉันมักยอมรับด้านดีได้ไม่เต็มกอด และขณะเดียวกันก็ยังผลักไสด้านแย่ออกไปไกลสุดกู่ หลายครั้งฉันเลยชักไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน หลายอารมณ์คงรอการปะทุอยู่ลึกๆ ในตัวฉัน แต่ “ปีแสง” กำลังช่วยให้ฉันหาประตูให้กับบางความรู้สึก ค่อยๆ ปลดปล่อยมันออกมา ยอมรับมันเอาไว้

และบอกตัวเองว่า… ใช่ ฉันเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งนี่นา

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

No responses yet