Book Review : เงียบเป็นต่อ (Quiet Impact)

Pui Sasakorn
2 min readMar 13, 2019

--

“เพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง จึงค้นพบวิธีสื่อสารที่ทรงพลัง” คือคำโปรยปกหน้าของหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้ฉันยอมควักกระเป๋าจ่ายแล้วเอาหนังสือมาเพิ่มสมาชิกกองดองในบ้าน

“เงียบเป็นต่อ” เป็นหนังสือแปลจากเยอรมัน ที่ปกหลังเคลมว่าเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง ผู้เขียนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ที่ค้นพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากล้วนเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่สามารถใช้ประโยชน์จาก “ความเงียบ” และสร้างวิธีสื่อสารที่ทรงพลังในแบบของตัวเองขึ้นมา

สำหรับฉัน ที่มีความเชื่อ 100% ว่าตัวเองเป็นคนลักษณะ introvert หนังสือเล่มนี้เลยค่อนข้างน่าสนใจมาก ฉันเคยเชื่อมาตลอดว่าคน introvert มีจุดอ่อนในเรื่องของการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอต้องขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรในระดับที่สูงขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่า ความที่ตัวเองเป็นคน introvert นี่เองที่น่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญในหลายๆ ภารกิจที่จำเป็นต้องทำ ฉันมักคิดว่าคน extrovert เป็นผู้นำได้ดีกว่า หลายๆ ครั้งฉันจึงเกลียดความ introvert ของตัวเอง ลึกๆ แล้วฉันรู้ว่าเปลี่ยนมันไม่ได้ หลายๆ ครั้งที่พยายามฉันจึงมักรู้สึกว่าตัวเองฝืนจนหมดพลัง

หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน

  • ส่วนแรกเป็นการเปิดเผยแง่มุมให้เราเห็นความเป็น introvert ที่ชัดเจนขึ้น บอกเล่าจุดแข็ง (ซึ่งเราไม่เคยเห็นในแง่มุมนี้มาก่อน) และจุดอ่อนที่เป็นอุปสรรค รวมไปถึงวิธีแก้ไข
  • ส่วนที่สอง เป็นส่วนของข้อแนะนำในการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานให้มีความสุขและประสบความสำเร็จ พาร์ทนี้บอกเล่าทั้งแบบชีวิตโสด ชีวิตคู่ การรับมือกับลูกซึ่งอาจเป็น introvert หรือ extrovert และการปรับตัวในที่ทำงานด้วย
  • ส่วนที่สาม พูดในภาพรวมว่าทำอย่างไรคนอื่นๆ ถึงจะรับรู้ความมีตัวตนของคนเงียบและรับฟังเรามากขึ้น

หีบสมบัติของคนเก็บตัว

หนังสือบอกเล่าจุดแข็งของคนเก็บตัวไว้ 10 ข้อ ซึ่งเป็นส่วนที่ฉันชอบมาก เพราะที่ผ่านมาฉันแทบไม่เคยมองเห็นจุดแข็งของการเป็นคน introvert มาก่อน พออ่านแล้วได้มา ทบทวนตัวเองดีๆ ฉันก็เริ่มรักความ introvert ของตัวเองมากขึ้นหน่อย และคิดว่าควรจะเก็บหีบสมบัตินี้เอาไว้ให้ดีๆ (ในหนังสือขยายความแต่ละข้อไว้ค่อนข้างละเอียด แต่ในที่นี้ขอสรุปยกมาเฉพาะหัวข้อนะคะ)

  1. ความรอบคอบ
  2. ความมีสาระ
  3. การมีสมาธิ
  4. การรับฟัง
  5. ความสงบนิ่ง
  6. การคิดวิเคราะห์
  7. การพึ่งพาตัวเอง
  8. การมุมานะ
  9. การเขียน (แทนการพูด)
  10. ความเข้าอกเข้าใจ

อีกด้านของเหรียญ

แน่นอนว่าจุดแข็งก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีไปซะทั้งหมด บางจุดแข็งของคนเก็บตัวก็มากซะจนผันตัวเองกลายเป็นจุดอ่อนหรืออีกด้านของเหรียญได้เหมือนกัน อุปสรรคทั้ง 10 ข้อมีดังนี้ค่ะ

  1. ความกลัว
  2. การใส่ใจรายละเอียดมากเกินไป
  3. การกระตุ้นที่มากเกินไป
  4. ความเฉื่อยชา
  5. การหนี
  6. การใช้สมองมากเกินไป
  7. การหลอกตัวเอง
  8. การยึดติด
  9. การเลี่ยงการสื่อสาร
  10. การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

กลยุทธ์ด้านความเป็นผู้นำสำหรับคนเก็บตัว

ฉันว่าพาร์ทนี้ในหนังสือตอบโจทย์ที่ฉันมองหามากที่สุดแล้ว เพราะปกติฉันมักเห็นภาพของผู้นำที่ชอบเข้าสังคม สื่อสารเก่ง มนุษยสัมพันธ์ดี เลยนึกไม่ค่อยออกว่าชาว introvert ทั้งหลายจะเป็นผู้นำที่ดีในแบบของตัวเองได้ยังไง

เป็นเรื่องปกติที่ชาว introvert ส่วนใหญ่จะค่อนข้างกังวลและเครียดเวลาต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ เพราะมันหมายถึงการก้าวขาออกจากเขตแดนแห่งความสบายใจ จู่ๆ งานที่ต้องจัดการดูแลก็ไม่ใช่งานที่ตัวเองถนัดที่สุดอีกต่อไป แถมยังต้องใช้ทักษะการสื่อสารเพื่อช่วยให้ผู้คนมากมายทำงานด้วยกันได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อดีของชาว introvert ที่สามารถเอามาปรับใช้ในการเป็นผู้นำได้

  1. สร้างความมั่นใจในตนเอง

แม้ชาว introvert จะเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ แต่เมื่อขึ้นเป็นผู้นำ สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้ตัวเองเชื่อมั่นในจุดแข็งที่มี ยอมรับจุดอ่อนโดยไม่หวั่นไหวให้ได้ก่อน เพราะสิ่งที่เราเชื่อจะถูกส่งผ่านทั้งคำพูด ท่าทาง ออกไปถึงคนของเรา คงไม่ดีหากจะทำให้ลูกทีมหวั่นไหวเพราะแม้แต่หัวหน้ายังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

สิ่งที่สามารถช่วยให้คุณเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นได้ คือให้คอยหมั่นบันทึกความสำเร็จทุกๆ วัน วันนี้คุณได้ใช้จุดแข็งคุณทำเรื่องอะไรให้สำเร็จบ้าง จะเล็กหรือใหญ่ก็บันทึกไว้ทั้งหมด แบบนี้จะช่วยให้คุณค่อยๆ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

2. เอาใจใส่คนตรงหน้าอย่างเต็มที่

คุณสามารถใช้จุดแข็งในเรื่องของความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นและการรับฟังมาเสริมภาวะผู้นำได้ หัวหน้าที่เอาใจใส่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะคนในตำแหน่งสูงกว่า ต่ำกว่าหรือเท่ากันย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เพราะคุณจะเข้าใจภาพรวม รู้ความต้องการของทีม รู้ว่าใครเหมาะกับงานไหน รู้ว่าจะกระตุ้นทีมงานได้อย่างไร

3. ทำให้แน่ใจว่ามองเห็นภาพรวมอย่างชัดเจน

ผู้นำที่ดีต้องมองได้ไกลกว่าแค่โปรเจ็กต์ถัดไป ต้องเข้าใจเป้าหมายรวมถึงบทบาทและความสามารถของแผนกที่ต้องดูแล ต้องมีเวลาในการปลีกตัวจากงานรายวัน มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนแผนได้เสมอ ซึ่งต้องบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นความถนัดของชาว introvert เพราะคนเก็บตัวชอบวางแผนงาน และเขียนมันออกมา การทำแบบนี้นอกจากจะทำให้ตัวเองชัดเจนแล้ว ยังทำให้ทีมเข้าใจเป้าหมายในภาพรวมด้วย

4. ฝึกฝนทักษะในการสนทนาและการจัดการความขัดแย้ง

หัดจับตาดูการสื่อสารภายในทีม และบริหารด้วยการเดินตรวจตรา ลองเดินไปพบปะกับคนที่คุณต้องทำงานด้วย การพูดคุยแบบตัวต่อตัวน่าจะทำให้คุณสบายใจกว่าการประชุมแบบเป็นทีม สิ่งนี้จะทำให้คุณได้รับรู้ข้อมูลมากขึ้น ทั้งบรรยากาศ ข้อมูลข่าวสาร ความลับ ศักยภาพ และปัญหา ส่วนในเรื่องของความขัดแย้งนั้น หากรับรู้ว่ามีให้รีบจัดการทันที

การสื่อสารแบบต่างๆ สำหรับคนชอบเก็บตัว

ฉันเคยสงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมตัวเองไม่ชอบโทรศัพท์ จนกระทั่งมาอ่านหนังสือเล่มนี้ การโทรศัพท์เป็นการสื่อสารที่คนชอบเก็บตัวค่อนข้างขยาด อาจเพราะไม่รู้ว่าจะรบกวนอีกฝ่ายมั้ย หรือไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรหากต้องเป็นฝ่ายรับสาย

ข้อแนะนำในการโทรศัพท์สำหรับคน introvert คือ ให้ลิสต์สิ่งที่ต้องการคุย ประเด็นข้อสงสัย คำถาม คำตอบที่ต้องการให้ครบถ้วนก่อนที่จะโทร ทักษะการเขียนน่าจะช่วยในเรื่องนี้ได้

ส่วนอีเมลนั้นแทบไม่เป็นปัญหาสำหรับคนชอบเก็บตัวเลย เพราะคนกลุ่มนี้ชอบเขียนอยู่แล้ว แถมยังมีเวลาให้คิดเรียบเรียงก่อนส่งอีกมาก มีการสื่อสารบางจำพวกเหมือนกันที่เหมาะกับการใช้อีเมล ถึงตอนนั้นคุณก็สามารถใช้จุดแข็งได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น

  • เรื่องที่ต้องการให้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ตัวเลขที่ตกลงไว้ กำหนดเส้นตาย
  • ถ้าอยากให้ทุกคนรับทราบข้อมูลเดียวกัน การส่งอีเมลถึงหลายๆ คนก็เป็นเรื่องที่ทำได้
  • ถ้าต้องสื่อสารกับคนที่ยังไม่รู้จัก และไม่มั่นใจในการสื่อสารทางวาจา อีเมลจะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจกว่า และไม่ต้องใช้พลังงานมากจนเกินไป

การเดินทางไปติดต่อธุรกิจ

นี่คือเรื่องที่คนชอบเก็บตัวค่อนข้างกลัวที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันหมายถึงเราต้องสื่อสารกับคนที่ไม่เคยรู้จัก ต้องทำความรู้จักใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายครั้งการเดินทางไปติดต่อลักษณะนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ connection

หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันรู้สึกผิดน้อยลงนิดหน่อยที่หลายๆ ครั้งสมัยก่อนฉันจะแอบหลบแว้บไปบ้างเวลาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์พวกนี้ เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนแนะนำให้ทำเช่นกัน

  • วางแผนหลบไปพักช่วงสั้นๆ ระหว่างประชุมหรือสัมมนาบ้าง อาจจะ skip บางหัวข้อที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ หรือทานข้าวให้ไวหน่อยเพื่อให้เหลือเวลาหลบไปอยู่คนเดียว
  • ห้องน้ำคือสถานที่แนะนำพิเศษสำหรับคนชอบเก็บตัวที่ขี้กังวล เหมาะที่สุดสำหรับพักเพื่อสูดหายใจ และไม่ต้องพบเจอใคร
  • ปกป้องช่วงเวลาส่วนตัวด้วยการปฏิเสธบางอย่างบ้าง เช่น โดนชวนไปทานข้าวเย็นด้วย หรือตั้งกฎกับตัวเองว่าจะทำ networking เฉพาะเที่ยงของวันที่สองเท่านั้น เพื่อไม่ให้คุณต้องใช้พลังงานเยอะเกินไป

ส่วนสุดท้ายของเล่มจะมีการแนะนำการสร้างเครือข่าย (ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาว introvert ไม่ถนัดสุดๆ) การออกงานสังคม การจัดการความขัดแย้ง การเจรจาต่อรอง การพูดในที่ประชุม รวมไปถึงการพูดต่อหน้าคนจำนวนมากๆ ด้วย

จะว่าไปก็เหมือนเอาจุดที่คนชอบเก็บตัวมีปัญหาเกือบทุกจุดมาเขียนได้ดีทีเดียว อ่านแล้วก็ช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นอีกหน่อย หรืออย่างน้อยๆ ก็มองความ introvert ของตัวเองดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ

ใครเป็นชาว introvert ขอแนะนำให้ลองอ่านดูนะคะ เผื่อได้ไอเดียดีๆ ในการปรับตัว

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

No responses yet