Corporate Innovation Bootcamp รุ่น 10

Pui Sasakorn
3 min readAug 10, 2018

--

Design Thinking กำลังเป็นคำฮิตในแวดวงธุรกิจช่วงนี้เลยค่ะ พอเห็นชื่อคอร์สว่า Through Design Thinking ด้วยก็เลยสนใจลงคอร์สนี้ โดยผู้สอน คุณต้อง กวีวุฒิ คือเจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง และยังจบ Design Thinking จาก D school ของ Stanford มาโดยตรงด้วย คอร์สบอกไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเน้นการเวิร์คช็อป และรับคนไม่เยอะมาก เราเลยคิดว่าน่าจะเรียนรู้ได้เต็มที่จริงๆ (เป็นคอร์สสองวันเต็ม)

คุณต้องเล่าว่า คอร์ส Design Thinking ของ D School นั้นมีความพิเศษคือ เปิดรับนักศึกษาจากทุกคณะของ Stanford แต่ไม่เปิดรับคนนอกเลย เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะเรียนวิชานี้ คุณก็จะต้องเป็นนักศึกษาของ Stanford ให้ได้เสียก่อนนั่นเอง ประสบการณ์และความรู้จากการเรียนของคุณต้องนั้นก็นำมาแชร์ในคอร์สนี้แบบเต็มที่และสนุกสนานมากๆ ค่ะ

และอย่างที่บอกว่า เป็นการเรียนรู้ผ่านการเวิร์คช็อปหรือการลงมือทำจริงๆ เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ได้เล่าบางกิจกรรมให้ฟังนะคะ เพราะคิดว่าเป็นการสปอยล์ เผื่อว่าใครอยากจะไปเรียนเองจริงๆ ไปเจอสดๆ เลยในบางกิจกรรมก็น่าจะสนุกกว่าค่ะ

ถามว่าใครบ้างที่เหมาะจะเรียนคอร์สนี้ ในรายละเอียดคอร์สเขียนไว้แบบนี้ค่ะ

1. ผู้บริหารที่ต้องการรู้วิธีสร้างนวัตกรรม หรือ โซลูชันใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กร

2. เจ้าของธุรกิจ ที่ประสบปัญหาในการปรับตัวให้ทันโลกดิจิทัล

3. สตาร์ทอัพที่ประสบปัญหาในการขยายกิจการ

4. ผู้ที่ให้ความสนใจในการสร้างนวัตกรรม หรือทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์

แต่ถ้าถามเราหลังจากเรียนไปแล้ว เราว่าคนสำคัญที่สุดที่ควรไปเรียน คือผู้นำองค์กร หรือเบอร์ 1 ในองค์กรนั่นเองค่ะ เพราะคอร์สนี้เน้นให้ความรู้และเน้นปรับ mindset เป็นหลัก หากพนักงานในองค์กรไปเรียนแล้ว กลับไปด้วยไฟแรงพวยพุ่ง แต่เบอร์ 1 หรือคนข้างบนไม่เข้าใจ โปรเจ็กต์ต่างๆ ก็ไม่มีวันเกิดเด็ดขาด เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากไปแต่ไม่ใช่เบอร์ 1 ก็อาจจะต้องหาวิธีชักจูงหัวหน้าของเรา หรือเบอร์ 1 ในบริษัท ไปเรียนด้วยกันนะคะ

Design Thinking
  • ถ้าเราไปเสิร์ช หรือได้ยินคนพูดถึง Design Thinking เราก็จะเห็นรูปภาพ step ประมาณนี้ค่ะ คุณต้อง (ผู้สอน) บอกว่า ใน Stanford business school จะสอนว่ามันคือ process แต่ถ้าเป็น D School จะบอกว่า Design thinking ไม่ใช่กระบวนการ แต่คือ Mindset หรือ Skill มากกว่า เรียกว่ามองกันคนละขั้ว
  • สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำเรื่องนี้ หรือกระทั่งการที่เราจะเป็นองค์กรที่คิดอะไรใหม่ๆ ได้ ก็คือ Creative Confidence เราจำเป็นจะต้องสร้างให้คนของเรามีสิ่งนี้ให้ได้ เค้าเชื่อว่าเราสร้างได้นะคะ เพราะจริงๆ เรามีสิ่งนี้กันตั้งแต่เด็กๆ แต่พอโตขึ้น สิ่งต่างๆ รอบตัวก็ทำให้เราทิ้งสิ่งนี้ไป (ถ้าใครสนใจอ่านหนังสือเพิ่มเติม ลองดูหนังสือชื่อ Creative Confidence นะคะ ยังไม่มีแปลไทย)
  • คนเราถนัด Rationalize Backward คือ หาเหตุผลมาให้สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ได้มากกว่าการคิดอะไรใหม่ๆ
  • บริษัทใหญ่ๆ ถนัดการทำ 1 ไป 100 แต่จริงๆ แล้วเราควรทำ 0 ไป 1 ให้ได้มากกว่า การคิดจาก 0 นี่แหละที่ยาก
  • Innovation ไม่ใช่แค่การคิดนอกกรอบ (มีคนคิดสินค้าพิสดารๆ เยอะ) แต่ต้องมีประโยชน์กับ user ด้วย
  • แน่นอนว่าในช่วงต้น Innovation อาจจะมีคนเข้าใจแค่ 1–2 คนเท่านั้น เพราะมันใหม่ มันเลยทำให้คนเข้าใจได้ยาก คนอาจจะไม่ซื้อไอเดียคุณ เพราะคนคิดไปไม่ถึง (เหมือนกับการไปถามว่าคนสมัยก่อนอยากได้อะไร เค้าจะตอบได้แค่อยากได้ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์)
  • Creative หมายถึงการที่ในหัวคุณไม่มี Assumption เลยว่าอะไรจะเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค
  • เราต้องกล้าถามว่า “ทำไม” มันถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
  • คนเรามี Creative muscle แต่เพราะไม่ใช้ กล้ามเนื้อส่วนนี้จึงอ่อนแอ ก็เหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรง
  • Innovators, not innovation = เน้นสร้างคน มากกว่าสร้างนวัตกรรม ถ้าไม่สามารถสร้างคนเก่าได้ ก็ให้หาคนใหม่เข้ามาแทนเลยง่ายกว่า
  • Skill แปลว่าต้องลงมือทำ (เหมือนกับการขี่จักรยาน เราอ่านหนังสือเอาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลองขี่ด้วยตัวเองด้วย) Design Thinking เป็นเรื่องของ Skill ไม่ใช่ knowledge
  • การสร้าง Safe Space สำหรับ Creativity ก็เป็นเรื่องสำคัญ
  • Innovation ต้องเริ่มจาก Human needs มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ และเป็นเรื่องที่เราสามารถเรียนรู้ได้
  • ใน Design Thinking ใช้คำว่า Empathize ซึ่งเป็นคำที่ลึกกว่า Understand มันคือการรู้สึกสิ่งที่คนอื่นรู้สึก (แต่เอาเข้าจริงๆ เราไม่สามารถเข้าใจได้ 100% แบบเขาแน่นอน) วิธีการ empathize มีหลายแบบ เช่น observe คือไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง interview สัมภาษณ์ หรือ immerse คือการลองไปทำตัวเป็นลูกค้าจริงๆ (เช่น ให้ผู้ชายแบกถุงหนักๆ ไว้ด้านหน้า จำลองเหมือนผู้หญิงตั้งท้อง เป็นต้น)
  • ฝึกมองเห็นปัญหาที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา (นี่คือแนวคิดของสตาร์ทอัพส่วนใหญ่)
  • เครื่องมือที่นำมาใช้ได้ เช่น
  1. Empathy Map เอาไว้ทำข้อมูลคร่าวๆ ว่าคนพูดอะไร ทำอะไร คิดอะไร รู้สึกอะไร เช่น ไปสัมภาษณ์มา ก็นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมด มาแมพลงในนี้ จะช่วยให้จัดระเบียบความคิดได้ง่ายขึ้น
  2. Problem Statement คือการเขียนลักษณะของคนคนนั้น แล้วเขียนว่าเค้ากำลังต้องการ….. เพราะว่า….
  3. How might we…? statement เราจะ…. ใครสักคน… ได้อย่างไร เป็นการต่อยอดมาจาก Problem statement คือพอเรารู้ปัญหาของเค้าแล้ว เราก็นำมาตั้งคำถามว่า เราจะช่วยให้เค้าซึ่งมีปัญหา xx เปลี่ยนเป็น yy ได้อย่างไร แล้วก็นำมา brainstorm ต่อ
  • จริงๆ ยังมีอีกหลายเครื่องมือและหลาย framework มากๆ ที่สามารถนำมาใช้งานได้ ให้ลองศึกษาดูหลายๆ อย่าง เพื่อดูว่าอันไหนเหมาะกับทีมของเรา
  • การสร้างใหม่ง่ายกว่าแก้ของเก่า คุณต้องแนะนำให้สร้างทีมใหม่ไปเลยสำหรับไว้คิดหรือสร้างของใหม่อย่างเดียว และทีมนี้ก็อาจะมี culture และใช้แนวคิดแบบสตาร์ทอัพไปเลย
  • ถ้าจะทำของใหม่ ทำให้เล็ก แต่เจ๊งได้หลายๆ อัน (บางบริษัทใช้วิธีวัดผลจากปริมาณไอเดีย โดยไม่สนว่าต้องสำเร็จหรือไม่)
  • Fidget Cube (สินค้าจาก kickstarter) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดีในแง่ของ Empathize
  • การใช้โพสต์อิตในการ Brainstorming นั้นทำให้ไอเดียจับต้องได้ เคลื่อนที่ได้ง่าย สามารถจัดกรุ๊ปหรือหาแพทเทิร์นได้ง่ายขึ้น
  • The best way to get a good idea is to get a lot of ideas ปริมาณสำคัญกว่าเวลาระดมสอง สิ่งที่ช่วยได้คือ วัฒนธรรมองค์กร, Yes and… statement (การชื่นชมไอเดียของเพื่อน), คนที่ต้องเป็นคนสร้างคือ ผู้นำ
  • ห้าม criticize idea ก่อนจะได้ไอเดียเยอะๆ แบ่งขั้นตอนให้ชัดเจน ช่วงสร้างไอเดีย ก็เน้นสร้าง พอได้ปริมาณแล้วค่อยมาคัดกรอง หรือตัดออก
  • Culture นั้นมีความเชื่อมโยงกับ stage ของบริษัทด้วย เช่น ช่วงต้น facebook ใช้คำว่า move fast & break things (คือเวลาเคลื่อนที่เร็วๆ มันอาจจะทำให้ของแตกหักเสียหายได้) แต่พอบริษัทโตขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นประโยคว่า Move fast & stable infrastructure (หากคุณจะตั้ง culture หรือประโยคอะไรขึ้นมา ประโยคนั้นควรจะสื่อถึงพฤติกรรมให้ชัดๆ ด้วย พนักงานจะเข้าใจได้ง่ายกว่า)
  • Prototype คือการ bring idea to reality ควรจะ rough & rapid
  • อย่ารักของของตัวเองเร็วเกินไป (เพราะเราจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คิดขึ้นมาแล้วต้องฟังลูกค้าให้มากๆ)
  • 3R Rules of Prototype : Rough, Rapid, Right
  • Design thinking เหมาะกับการใช้ตอนแรกที่เริ่มสร้าง product ใหม่ๆ
  • หนังสือแนะนำจากคลาส : Hacking Growth, Sprint, Change by design, Designing Your Life (เล่มสุดท้ายนี้เหมือนเล่มแปลไทยกำลังจะออกนะคะ)

ความสนุกของคลาสอยู่ตรงที่การได้ลองลงมือทำจริงๆ เพราะเวิร์คช็อปคือตั้งโจทย์แล้วให้ลงไปสัมภาษณ์คนจริงๆ เก็บเอาข้อมูลที่สัมภาษณ์มาแมพ เบรนสตรอมกันจริงๆ ทำ Prototype และลอง test กันจริงๆ แต่ละขั้นตอนได้เวลาแบบน้อยมากๆ ทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราโดนเวลาบีบ จริงๆ แล้วเราก็ทำได้นะ

เป็นคลาสที่สนุกและได้ความรู้ดีมากค่ะ มีจัดต่อเนื่องเรื่อยๆ นะคะ ใครสนใจก็ลองติดตามดูได้ (ราคาคอร์สอาจจะแรงนิดนึง แต่ถ้าบริษัทจ่ายไหว แล้วไปรับข้อมูล รวมถึงปรับ mindset ได้จริง นำมาต่อยอดได้จริง ก็นับว่าเป็นเงินที่คุ้มค่ากับการลงทุนค่ะ)

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

No responses yet