Corporate Innovation Bootcamp รุ่น 10
Design Thinking กำลังเป็นคำฮิตในแวดวงธุรกิจช่วงนี้เลยค่ะ พอเห็นชื่อคอร์สว่า Through Design Thinking ด้วยก็เลยสนใจลงคอร์สนี้ โดยผู้สอน คุณต้อง กวีวุฒิ คือเจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง และยังจบ Design Thinking จาก D school ของ Stanford มาโดยตรงด้วย คอร์สบอกไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเน้นการเวิร์คช็อป และรับคนไม่เยอะมาก เราเลยคิดว่าน่าจะเรียนรู้ได้เต็มที่จริงๆ (เป็นคอร์สสองวันเต็ม)
คุณต้องเล่าว่า คอร์ส Design Thinking ของ D School นั้นมีความพิเศษคือ เปิดรับนักศึกษาจากทุกคณะของ Stanford แต่ไม่เปิดรับคนนอกเลย เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะเรียนวิชานี้ คุณก็จะต้องเป็นนักศึกษาของ Stanford ให้ได้เสียก่อนนั่นเอง ประสบการณ์และความรู้จากการเรียนของคุณต้องนั้นก็นำมาแชร์ในคอร์สนี้แบบเต็มที่และสนุกสนานมากๆ ค่ะ
และอย่างที่บอกว่า เป็นการเรียนรู้ผ่านการเวิร์คช็อปหรือการลงมือทำจริงๆ เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ได้เล่าบางกิจกรรมให้ฟังนะคะ เพราะคิดว่าเป็นการสปอยล์ เผื่อว่าใครอยากจะไปเรียนเองจริงๆ ไปเจอสดๆ เลยในบางกิจกรรมก็น่าจะสนุกกว่าค่ะ
ถามว่าใครบ้างที่เหมาะจะเรียนคอร์สนี้ ในรายละเอียดคอร์สเขียนไว้แบบนี้ค่ะ
1. ผู้บริหารที่ต้องการรู้วิธีสร้างนวัตกรรม หรือ โซลูชันใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กร
2. เจ้าของธุรกิจ ที่ประสบปัญหาในการปรับตัวให้ทันโลกดิจิทัล
3. สตาร์ทอัพที่ประสบปัญหาในการขยายกิจการ
4. ผู้ที่ให้ความสนใจในการสร้างนวัตกรรม หรือทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
แต่ถ้าถามเราหลังจากเรียนไปแล้ว เราว่าคนสำคัญที่สุดที่ควรไปเรียน คือผู้นำองค์กร หรือเบอร์ 1 ในองค์กรนั่นเองค่ะ เพราะคอร์สนี้เน้นให้ความรู้และเน้นปรับ mindset เป็นหลัก หากพนักงานในองค์กรไปเรียนแล้ว กลับไปด้วยไฟแรงพวยพุ่ง แต่เบอร์ 1 หรือคนข้างบนไม่เข้าใจ โปรเจ็กต์ต่างๆ ก็ไม่มีวันเกิดเด็ดขาด เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากไปแต่ไม่ใช่เบอร์ 1 ก็อาจจะต้องหาวิธีชักจูงหัวหน้าของเรา หรือเบอร์ 1 ในบริษัท ไปเรียนด้วยกันนะคะ
- ถ้าเราไปเสิร์ช หรือได้ยินคนพูดถึง Design Thinking เราก็จะเห็นรูปภาพ step ประมาณนี้ค่ะ คุณต้อง (ผู้สอน) บอกว่า ใน Stanford business school จะสอนว่ามันคือ process แต่ถ้าเป็น D School จะบอกว่า Design thinking ไม่ใช่กระบวนการ แต่คือ Mindset หรือ Skill มากกว่า เรียกว่ามองกันคนละขั้ว
- สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำเรื่องนี้ หรือกระทั่งการที่เราจะเป็นองค์กรที่คิดอะไรใหม่ๆ ได้ ก็คือ Creative Confidence เราจำเป็นจะต้องสร้างให้คนของเรามีสิ่งนี้ให้ได้ เค้าเชื่อว่าเราสร้างได้นะคะ เพราะจริงๆ เรามีสิ่งนี้กันตั้งแต่เด็กๆ แต่พอโตขึ้น สิ่งต่างๆ รอบตัวก็ทำให้เราทิ้งสิ่งนี้ไป (ถ้าใครสนใจอ่านหนังสือเพิ่มเติม ลองดูหนังสือชื่อ Creative Confidence นะคะ ยังไม่มีแปลไทย)
- คนเราถนัด Rationalize Backward คือ หาเหตุผลมาให้สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ได้มากกว่าการคิดอะไรใหม่ๆ
- บริษัทใหญ่ๆ ถนัดการทำ 1 ไป 100 แต่จริงๆ แล้วเราควรทำ 0 ไป 1 ให้ได้มากกว่า การคิดจาก 0 นี่แหละที่ยาก
- Innovation ไม่ใช่แค่การคิดนอกกรอบ (มีคนคิดสินค้าพิสดารๆ เยอะ) แต่ต้องมีประโยชน์กับ user ด้วย
- แน่นอนว่าในช่วงต้น Innovation อาจจะมีคนเข้าใจแค่ 1–2 คนเท่านั้น เพราะมันใหม่ มันเลยทำให้คนเข้าใจได้ยาก คนอาจจะไม่ซื้อไอเดียคุณ เพราะคนคิดไปไม่ถึง (เหมือนกับการไปถามว่าคนสมัยก่อนอยากได้อะไร เค้าจะตอบได้แค่อยากได้ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์)
- Creative หมายถึงการที่ในหัวคุณไม่มี Assumption เลยว่าอะไรจะเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค
- เราต้องกล้าถามว่า “ทำไม” มันถึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
- คนเรามี Creative muscle แต่เพราะไม่ใช้ กล้ามเนื้อส่วนนี้จึงอ่อนแอ ก็เหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป จำเป็นต้องได้รับการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรง
- Innovators, not innovation = เน้นสร้างคน มากกว่าสร้างนวัตกรรม ถ้าไม่สามารถสร้างคนเก่าได้ ก็ให้หาคนใหม่เข้ามาแทนเลยง่ายกว่า
- Skill แปลว่าต้องลงมือทำ (เหมือนกับการขี่จักรยาน เราอ่านหนังสือเอาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลองขี่ด้วยตัวเองด้วย) Design Thinking เป็นเรื่องของ Skill ไม่ใช่ knowledge
- การสร้าง Safe Space สำหรับ Creativity ก็เป็นเรื่องสำคัญ
- Innovation ต้องเริ่มจาก Human needs มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ และเป็นเรื่องที่เราสามารถเรียนรู้ได้
- ใน Design Thinking ใช้คำว่า Empathize ซึ่งเป็นคำที่ลึกกว่า Understand มันคือการรู้สึกสิ่งที่คนอื่นรู้สึก (แต่เอาเข้าจริงๆ เราไม่สามารถเข้าใจได้ 100% แบบเขาแน่นอน) วิธีการ empathize มีหลายแบบ เช่น observe คือไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง interview สัมภาษณ์ หรือ immerse คือการลองไปทำตัวเป็นลูกค้าจริงๆ (เช่น ให้ผู้ชายแบกถุงหนักๆ ไว้ด้านหน้า จำลองเหมือนผู้หญิงตั้งท้อง เป็นต้น)
- ฝึกมองเห็นปัญหาที่คนอื่นอาจมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา (นี่คือแนวคิดของสตาร์ทอัพส่วนใหญ่)
- เครื่องมือที่นำมาใช้ได้ เช่น
- Empathy Map เอาไว้ทำข้อมูลคร่าวๆ ว่าคนพูดอะไร ทำอะไร คิดอะไร รู้สึกอะไร เช่น ไปสัมภาษณ์มา ก็นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมด มาแมพลงในนี้ จะช่วยให้จัดระเบียบความคิดได้ง่ายขึ้น
- Problem Statement คือการเขียนลักษณะของคนคนนั้น แล้วเขียนว่าเค้ากำลังต้องการ….. เพราะว่า….
- How might we…? statement เราจะ…. ใครสักคน… ได้อย่างไร เป็นการต่อยอดมาจาก Problem statement คือพอเรารู้ปัญหาของเค้าแล้ว เราก็นำมาตั้งคำถามว่า เราจะช่วยให้เค้าซึ่งมีปัญหา xx เปลี่ยนเป็น yy ได้อย่างไร แล้วก็นำมา brainstorm ต่อ
- จริงๆ ยังมีอีกหลายเครื่องมือและหลาย framework มากๆ ที่สามารถนำมาใช้งานได้ ให้ลองศึกษาดูหลายๆ อย่าง เพื่อดูว่าอันไหนเหมาะกับทีมของเรา
- การสร้างใหม่ง่ายกว่าแก้ของเก่า คุณต้องแนะนำให้สร้างทีมใหม่ไปเลยสำหรับไว้คิดหรือสร้างของใหม่อย่างเดียว และทีมนี้ก็อาจะมี culture และใช้แนวคิดแบบสตาร์ทอัพไปเลย
- ถ้าจะทำของใหม่ ทำให้เล็ก แต่เจ๊งได้หลายๆ อัน (บางบริษัทใช้วิธีวัดผลจากปริมาณไอเดีย โดยไม่สนว่าต้องสำเร็จหรือไม่)
- Fidget Cube (สินค้าจาก kickstarter) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดีในแง่ของ Empathize
- การใช้โพสต์อิตในการ Brainstorming นั้นทำให้ไอเดียจับต้องได้ เคลื่อนที่ได้ง่าย สามารถจัดกรุ๊ปหรือหาแพทเทิร์นได้ง่ายขึ้น
- The best way to get a good idea is to get a lot of ideas ปริมาณสำคัญกว่าเวลาระดมสอง สิ่งที่ช่วยได้คือ วัฒนธรรมองค์กร, Yes and… statement (การชื่นชมไอเดียของเพื่อน), คนที่ต้องเป็นคนสร้างคือ ผู้นำ
- ห้าม criticize idea ก่อนจะได้ไอเดียเยอะๆ แบ่งขั้นตอนให้ชัดเจน ช่วงสร้างไอเดีย ก็เน้นสร้าง พอได้ปริมาณแล้วค่อยมาคัดกรอง หรือตัดออก
- Culture นั้นมีความเชื่อมโยงกับ stage ของบริษัทด้วย เช่น ช่วงต้น facebook ใช้คำว่า move fast & break things (คือเวลาเคลื่อนที่เร็วๆ มันอาจจะทำให้ของแตกหักเสียหายได้) แต่พอบริษัทโตขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นประโยคว่า Move fast & stable infrastructure (หากคุณจะตั้ง culture หรือประโยคอะไรขึ้นมา ประโยคนั้นควรจะสื่อถึงพฤติกรรมให้ชัดๆ ด้วย พนักงานจะเข้าใจได้ง่ายกว่า)
- Prototype คือการ bring idea to reality ควรจะ rough & rapid
- อย่ารักของของตัวเองเร็วเกินไป (เพราะเราจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คิดขึ้นมาแล้วต้องฟังลูกค้าให้มากๆ)
- 3R Rules of Prototype : Rough, Rapid, Right
- Design thinking เหมาะกับการใช้ตอนแรกที่เริ่มสร้าง product ใหม่ๆ
- หนังสือแนะนำจากคลาส : Hacking Growth, Sprint, Change by design, Designing Your Life (เล่มสุดท้ายนี้เหมือนเล่มแปลไทยกำลังจะออกนะคะ)
ความสนุกของคลาสอยู่ตรงที่การได้ลองลงมือทำจริงๆ เพราะเวิร์คช็อปคือตั้งโจทย์แล้วให้ลงไปสัมภาษณ์คนจริงๆ เก็บเอาข้อมูลที่สัมภาษณ์มาแมพ เบรนสตรอมกันจริงๆ ทำ Prototype และลอง test กันจริงๆ แต่ละขั้นตอนได้เวลาแบบน้อยมากๆ ทำให้เราเห็นว่า ถ้าเราโดนเวลาบีบ จริงๆ แล้วเราก็ทำได้นะ
เป็นคลาสที่สนุกและได้ความรู้ดีมากค่ะ มีจัดต่อเนื่องเรื่อยๆ นะคะ ใครสนใจก็ลองติดตามดูได้ (ราคาคอร์สอาจจะแรงนิดนึง แต่ถ้าบริษัทจ่ายไหว แล้วไปรับข้อมูล รวมถึงปรับ mindset ได้จริง นำมาต่อยอดได้จริง ก็นับว่าเป็นเงินที่คุ้มค่ากับการลงทุนค่ะ)