กลยุทธ์นวัตกรรมและการสร้างธุรกิจใหม่ (คอร์สออนไลน์จากจุฬาฯ)

Pui Sasakorn
2 min readAug 12, 2018

--

ปัจจุบันจุฬาฯ มีเปิดคอร์สออนไลน์ผ่านโครงการต่างๆ ค่อนข้างเยอะ เช่น CHULA MOOC และล่าสุดมีการเปิด SPACE by Chula business school ออกมาอีกโครงการ ซึ่งเป็นระบบเรียนออนไลน์ที่เปิดสอนให้แก่บุคคลทั่วไปฟรี

จริงๆ ต้องบอกว่าเปิดออกมาซักพักแล้ว แต่รุ่นแรกและรุ่นสองยังมีการจำกัดจำนวนคนเรียน ทำให้มีหลายๆ คนพลาดโอกาสการสมัครเรียน ล่าสุดรุ่นที่สาม (ช่วงสิงหาคม 2018) เป็นครั้งแรกที่ SPACE ไม่จำกัดจำนวนคนลงทะเบียน แต่จำกัดเวลาลงทะเบียนแทน

คราวนี้เลยมีโอกาสได้เรียนวิชาที่อยากเรียน แต่ครั้งก่อนๆ ลงไม่ทัน คือ วิชากลยุทธ์นวัตกรรมและการสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งสอนโดย ดร.พสุ

และเนื่องมาจากคลิปสอนมีเพียง 7 คลิป แต่ละคลิปไม่เกิน 10 นาที ทำให้เราสามารถเรียนคอร์สนี้จบภายในระยะเวลา 1 วันเท่านั้น เลยขอถือโอกาสมาสรุปให้อ่านกันสั้นๆ ส่วนใครที่สนใจฟังคลิปเอง รอเปิดสอนรอบหน้าก็ลองสมัครกันดูได้ค่ะ

ดร.พสุ เล่าถึงวิวัฒนการของ Strategy ตั้งแต่รุ่น 1.0 มาจนถึงปัจจุบันคือ 4.0 โดย

ยุค 1.0 คือยุคที่เน้นเรื่องการวางแผน ตั้งเป้า ทำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

ยุค 2.0 คือยุคที่เน้นเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ การลดต้นทุนต่างๆ

ยุค 3.0 คือยุคที่เน้นไปที่การสร้างคุณค่า การสร้างความแตกต่าง

และยุคนี้ ยุค 4.0 คือยุคที่เน้นนวัตกรรม ทั้งในเชิง business model และสามารถ disrupt อุตสาหกรรมเดิมได้ด้วย

พอมาพูดถึงว่าแล้วเราจะคิดเรื่องนวัตกรรมหรือไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ได้ยังไง หลักๆ ก็มี 5 วิธีด้วยกันค่ะ

  1. Search for Jobs-to-be-done คือการคิดว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องการนั้นเราเอามาตอบโจทย์อะไร เช่น เราใส่นาฬิกา จริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการนาฬิกา แต่เราต้องการสิ่งที่สามารถบอกเวลาให้เราได้ เป็นต้น การหาไปให้ถึงต้นตอว่าสิ่งนี้มาตอบโจทย์อะไรจะทำให้เราเห็นโอกาสในทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เราเห็นมอเตอร์ไซค์ในอินเดียเยอะมาก โดยมากซ้อนสอง ซ้อนสาม แต่ขับไม่เร็วเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมอเตอร์ไซค์เค้าไม่ได้ตอบโจทย์เหมือนเมืองไทยคือความเร็ว แต่ตอบโจทย์แค่เรื่องการเคลื่อนที่ การขนย้าย เท่านั้น บริษัท TATA เห็นแบบนี้เลยออกแบบรถ TATA Nano ซึ่งเป็น Micro Car ออกมา ราคาไม่ถึง 1 แสนบาทไทย แต่ทุกอย่างลดต้นทุนหมด เมื่อเทียบกับราคาที่พอๆ กับมอเตอร์ไซค์แต่สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่านิดหน่อยแล้ว คนอินเดียก็อาจจะเลือกซื้อ Nano car นี้มากกว่า
  2. Search for Key Commonalities for non-customer ต้องอธิบายก่อนว่า non-customer ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่ใช่ลูกค้าเรา บริษัทเรา ร้านเราเท่านั้น แต่หมายถึง คนที่ไม่ใช่ลูกค้าของทั้งอุตสาหกรรม เช่น ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่ไม่กินอะเมซอน แต่ดันไปเข้าสตาร์บัคส์ แต่คือลูกค้าที่ไม่กินกาแฟ ไม่เข้าร้านกาแฟเลย ส่วน Key Commonalities ก็คือปัจจัยร่วม ในข้อนี้หมายถึง ปัจจัยร่วมอะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่เป็นลูกค้าของอุตสาหกรรม เช่น สำหรับคนที่เอาข้าวกล่องมากิน ก็คือ non-customer ของร้านอาหาร ถามว่าอะไรคือปัจจัยร่วม และจริงๆ เค้าต้องการอะไร ตอบคือ เค้าต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ในราคาที่เหมาะสม ใช้เวลากินไม่นาน ซึ่งในอังกฤษมีคนเห็นโอกาสนี้ บริษัทนั้นก็คือร้าน PRET A MANGER ซึ่งเป็นร้านขายแซนด์วิชคุณภาพดี ราคาประหยัด และใช้เวลาทำแค่ 90 วินาทีเท่านั้น
  3. Search for Pain Points ดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน, ระหว่าง, หลังการใช้สินค้าต่างๆ มีอะไรที่ไม่สะดวก หรือน่าหงุดหงิดที่เราแก้ได้บ้างมั้ย เช่น บางคนชอบทำ Home cooking แต่ขี้เกียจหาซื้อวัตถุดิบ ไม่รู้จะทำอะไร ธุรกิจ Blue Apron ก็มาแก้โจทย์ข้อนี้โดยการจัดส่งวัตถุดิบแบบเป็นชุดๆ โดยเราเลือกเมนูว่าจะทำอะไรจากในเว็บ ของจะถูกส่งมาเป็นกล่องมีวัตถุดิบครบถ้วน พร้อมมีวิธีการทำบอกมาด้วย
  4. Search for Linkages between Industries คนเรามักคิดภายใต้กรอบเดิมๆ ที่มีอยู่ คุ้นชินกับธุรกิจที่ทำอยู่ ถ้าลองมองให้กว้างออกไป ก็อาจจะเจอโอกาสได้ อาจไม่ต้องเป็นธุรกิจกับธุรกิจก็ได้ แค่แนวคิดที่อยู่คนละขั้วก็ทำให้เห็นโอกาสได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Curve Fitness แฟรนไชส์ฟิตเนสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ตอบโจทย์เอาข้อดีของการออกกำลังที่บ้านมาบวกกับการออกกำลังที่ฟิตเนสได้ โดย Curve เป็นฟิตเนสเฉพาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น พื้นที่ก็เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยม แต่จะตั้งอุปกรณ์เป็นวงกลม และจะผลัดกันเล่นวนไป โดยได้ออกกำลังทุกส่วนในร่างกาย มีเทรนเนอร์คอยดูแล และราคาประหยัด
  5. Disruptive Business Model 7 แบบ
  • Subscription Model เช่น netflix, Dollar shave club ที่ส่งใบมีดใหม่ให้ทุกๆ เดือน
  • freemium ฟรีก่อนในช่วงแรก เช่น linkedin, dropbox
  • free model เช่น google, facebook
  • platform model เช่น App Store, uber
  • P2P (peer to peer), Sharing economy model เช่น kickstarter
  • ecosystem model เช่น Apple, amazon ถ้าในไทยก็เช่น Central group ที่นำ the one card มาใช้เชื่อมโยงทุกๆ อย่างของเซ็นทรัลเข้าด้วยกัน
  • online-offline integration เช่น amazon, alibaba

ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการเล็กๆ ในการช่วยจุดประกาย หลายๆ อันไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี คิดแค่จะทำอย่างไรจึงจะตอบโจทย์ที่ลูกค้าต้องการได้ (ซึ่งหลายครั้งลูกค้าก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองต้องการอะไร อยู่ที่เราต้องรู้จักสังเกตด้วย)

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

No responses yet