Book review : คนรวย ทำงานเร็ว?
จริงๆ แล้วตอนเห็นหนังสือเล่มนี้ เราสะดุดคำว่า “ทำงานเร็ว” มากกว่าคำว่า “คนรวย”
ส่วนตัวแล้วเป็นคนให้ความสำคัญกับเวลา และซีเรียสกับการเคารพเวลาทั้งของตัวเองและของคนอื่นมาก แม้คนรอบตัวจะบอกว่าเราเป็นคนทำงานเร็ว (จนบางคนตามไม่ทันแล้ว) เราก็ยังคิดว่าเรื่องการทำงานให้เร็วขึ้นหรือมีประสิทธิภาพขึ้น ยังสามารถปรับปรุงได้อีก เลยตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน
หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 6 บท รวม 55 กลยุทธ์ แต่ละกลยุทธ์ก็จะสั้นๆ ไม่เกิน 2–3 หน้า ทำให้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านง่าย มีการยกตัวอย่างอธิบาย หรือตั้งหัวข้อบทให้เข้าใจได้ไม่ยากนัก ขออนุญาตยกตัวอย่างชื่อบทใหญ่ๆ มาให้ดูกันทั้ง 6 บท
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรง “วิธีคว้าโอกาส”
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรงที่มี “สมาธิ”
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรงที่มี “มนุษยสัมพันธ์”
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ “วิถีชีวิต”
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ “นิสัยในการคิด”
- คนรวยที่ทำงานเร็วแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ “วิธีการแข่งขัน”
ในแต่ละบทก็จะประกอบไปด้วยกลยุทธ์ราวๆ บทละ 7–10 กลยุทธ์ เล่าแยกทีละกลยุทธ์จนครบ 55 กลยุทธ์ ขอยกตัวอย่างกลยุทธ์ที่เราอ่านแล้วชอบมาเล่าให้ฟังนะคะ (ส่วนใครอยากอ่านเต็มๆ ไปอุดหนุนเล่มจริงกันค่า)
- คนทำงานเร็วเปลี่ยนความผิดพลาดเป็นบทเรียน คนทำงานช้ามัวแต่กังวลและหวาดกลัว
ความผิดพลาดให้ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือ “ขั้นตอนแห่งการลองผิดลองถูกที่ตามมาด้วยผลสำเร็จ” ดังนั้นหากลองใช้วิธีการไหนแล้วไม่ได้ผล ขอให้รู้ว่านั่นเป็นวิธีที่ไม่เหมาะ แล้วเปลี่ยนมาใช้วิธีอื่นที่มีประสิทธิผลดีกว่า
ในการทำงานก็เช่นกัน สาระสำคัญของความผิดพลาดคือ “การคาดการณ์พลาด” และเป็น “โอกาสที่จะเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น”
หากคิดว่าความผิดพลาดแต่ละครั้งจะเป็นโอกาสให้เราได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวความผิดพลาดจนเกินไป และไม่จำเป็นต้องคิดมากด้วย
แต่คนทำงานช้าจะไม่สามารถยอมรับวงจรนี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เขาจะเอาแต่ตื่นตระหนกและโวยวาย ทำให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ
- คนทำงานเร็วสนใจ “โอกาส” คนทำงานช้าสนใจ “สิทธิ”
มีพนักงานบางคนที่ไม่พอใจในสภาพการณ์ของตัวเอง ซึ่งสาเหตุอาจจะไม่ได้มาจากตัวเองแต่มาจากบริษัท พอคิดแบบนี้ตัวเองเลยไม่คิดจะเปลี่ยน และหวังให้บริษัทเป็นฝ่ายเปลี่ยน
แทนที่คนเหล่านี้จะพัฒนาความสามารถของตัวเอง กลับเอาเป็นเอาตายกับการปกป้องสิทธิของตนเอง ต้องใช้วันลาหยุด ไม่อยากทำงานล่วงเวลา บ่นเรื่องเงินเดือนน้อย และยิ่งไม่สามารถระงับความไม่พอใจไว้ได้ ก็ไม่สามารถทำงานให้ดีได้ ส่งผลต่อความเร็วและผลสำเร็จในการทำงานด้วย
คนทำงานเร็วจะไม่สนใจเรื่องสิทธิของตัวเอง พวกเขาจะแสวงหาโอกาสและถ้าเห็นโอกาสในบริษัทเมื่อไหร่ก็จะรีบคว้าทันที จะว่าไปแล้วบริษัทถือเป็นคลังมหาสมบัติ เพราะเราสามารถใช้เงินบริษัทลองทำอะไรหลายๆ อย่างได้ ได้รับเงินเดือนแล้วยังได้เพิ่มทักษะให้ตัวเองไปด้วย เรียกว่านอกจากให้เงินแล้ว ยังสอนงาน หรือบางทียังทำให้เราได้รู้จักกับคนอื่นๆ โดยอาศัยชื่อเสียงของบริษัทอีก
- คนทำงานเร็ว คิดว่าเป็น “ความผิดของเรา” คนทำงานช้าโทษว่าเป็น “ความผิดของสิ่งอื่น”
คนทำงานช้ามักจะโยนความผิดไปให้เพื่อนบ้าง นายบ้าง บริษัทบ้าง จึงไม่สามารถพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นๆ ได้ ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวชักจูง ผลงานก็ได้อยู่เท่านั้น
แต่คนทำงานเร็วจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนสภาพแวดล้อมและสร้างผลสำเร็จในงาน
หากว่างพอจะคร่ำครวญเรื่องสภาพแวดล้อมล่ะก็ เอาเวลานั้นไปคิดหาทางแก้ไขซะจะดีกว่า
- คนทำงานเร็วใช้เครื่องมือเป็น คนทำงานช้าถูกเครื่องมือใช้
มีหลายครั้งที่บางบริษัทเอาระบบมาใช้ แต่ไม่ได้เข้ากับกระบวนการหรือวัฒนธรรมองค์กร ทำให้ระบบที่เอาเข้ามาไม่ได้ช่วยอะไร กลับทำให้ไม่มีประสิทธิภาพหรือเสียเวลาไปอีก
เพราะฉะนั้นแทนที่จะคิดว่า “ต้องใช้เครื่องมือพวกนี้” คนทำงานเร็วจะคิดว่า “เอาไว้ให้คิดอะไรได้ก่อนแล้วถึงค่อยเอาเครื่องมือที่เข้ากับการทำงานที่สุดมาใช้ดีกว่า” เรียกว่าต้องคำนึงถึงปัญหาก่อน แล้วค่อยเลือกเครื่องมือมาใช้
- คนทำงานเร็วทำความปรารถนาของผู้อื่นให้เป็นจริง คนทำงานช้ามัวแต่ทำความปรารถนาของตัวเองให้เป็นจริง
หัวข้ออาจจะฟังดูนามธรรมไปซักหน่อย แต่พออ่านคำอธิบายแล้วจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะค่ะ
คำว่าการทำความฝันให้เป็นจริงในทีนี้หมายถึง การแก้ปัญหาที่คาใจอีกฝ่ายได้ หรือ ส่งเสริมให้เกิดสิ่งที่อีกฝ่ายหวังไว้
ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัด สำหรับงานในบริษัท ถ้าให้สิ่งที่ประธานบริษัทต้องการ หรือ แก้ปัญหาที่หัวหน้ากำลังกังวลได้ ก็ย่อมได้รับการประเมินที่ดี แต่การจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องคาดการณ์ให้ได้ก่อนว่าอีกฝ่ายกำลังลำบากใจ หรืออยากทำแบบไหน จึงจะสามารถให้ output ที่ตรงความต้องการได้
คนทำงานช้าจะให้ความสำคัญกับการทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงมากกว่า ไม่ว่าจะอยากเพิ่มทักษะ อยากรวย อยากเปลี่ยนงาน อยากทำธุรกิจของตัวเอง อยากประสบความสำเร็จ ทั้งหมดนี้มีตัวเองเป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น
แน่นอนว่าความปรารถนาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ดี จริงๆ แล้วถือเป็นพลังขับเคลื่อนด้วยซ้ำ แต่เราต้องคิดว่า ในการทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริง “การทำให้คนอื่นมีความสุขนี่แหละถึงจะทำให้เราสมปรารถนา”
คนทำงานเร็วในหนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้หมายถึงคนที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น หรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าเป็นงานที่ทำเป็นทีม หรือมีคู่ค้า ต่อให้ทำงานเร็วอยู่คนเดียวก็ไม่มีประโยชน์
สรุปแล้วคือ ต้องใส่ใจความเร็วของคนรอบข้างด้วย เช่น คาดว่าคนอื่นจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำงานชิ้นนี้แล้วแบ่งงานกัน หรือคำนวณเวลาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในภาพรวม เพราะฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของการ “ทำงานเร็ว” ก็คือการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้างและแก้ปัญหาของคนอื่นได้นั่นเอง
— — — — — — — — — —
จริงๆ แล้วตอนอ่าน สิ่งที่เราขัดใจที่สุดก็คือคำว่า “คนรวยที่ทำงานเร็ว” นี่แหละค่ะ 555 คือยังไงดี เรามีความรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเอามาเปรียบเทียบที่ความรวยไม่รวยก็ได้ คือแค่ทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพ ตั้งเป็นเหตุ เราก็รู้ว่าปลายทางแล้วคนคนนั้นก็น่าจะประสบความสำเร็จในทางการงานทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว บางคนอาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่เรื่องเงินก็ได้เหมือนกัน แค่เปรียบคนทำงานเร็วกับทำงานช้าก็น่าจะเห็นภาพในการเล่าเรื่องได้ชัดเจนแล้ว เรื่องนี้เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวนะคะ แค่รู้สึกว่ามันโฟกัสผิดจุดไปหน่อย และทำให้คำมันฟุ่มเฟือยเกินกว่าเหตุเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วเนื้อหาหลายๆ บทถือว่าโอเคและนำไปปรับใช้ได้จริงเลยค่ะ