Book review : ทำไมคนที่ทำงานเก่งที่สุด ถึงใช้ “สมุดกราฟ”
หลังจากซื้อ ipad ตัวใหม่และ apple pencil มาใช้งานจริงจัง และได้ค้นพบว่า บางแอพสำหรับจดโน้ตจะมีแบบกระดาษให้เลือก ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ กระดาษแบบตารางสมุดกราฟ
และอาจจะเป็นเพราะคุ้นเคยกับสมุดเรียนตั้งแต่สมัยมัธยม หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ ทำให้ส่วนตัวชอบเลือกกระดาษสมุดกราฟมาไว้ใช้จดโน้ตอยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ก็ยังจดโน้ตตามปกติอยู่นั่นเอง
พอผ่านร้านหนังสือแล้วเห็นเล่มนี้เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ เผื่อว่าจะมีเทคนิคใหม่ๆ มาทำให้เราจดโน้ตได้ดีขึ้น อ่านจบแล้วขอมาสรุปประเด็นที่น่าสนใจกันคร่าวๆ ค่ะ (ต้องบอกก่อนว่า อ่านเองทั้งเล่มก็น่าจะดีกว่า สำหรับใครที่สนใจ)
- สมุดกราฟถือเป็นรูปแบบสมุดที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ทั้งจากบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังหลายๆ บริษัท รวมไปถึงเด็กมหาลัยดัง เช่น ม.เกียวโต ม.โตเกียว โดยแต่ละแห่งจะมีสมุดกราฟเฉพาะแตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ยังมีเส้นแนวตั้งและแนวนอน
- เทคนิคการจดโน้ตสำหรับนักเรียน และคนวัยทำงานนั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับวัยเรียนจดโน้ตเพื่อจดจำ แต่วัยทำงานจะเป็นการจดโน้ตเพื่อคัดทิ้ง (เก็บไว้แต่ข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น) นอกจากนี้ยังมีการจดเพื่อเอาไปนำเสนอต่อด้วย (ถ้าจดได้ดี สามารถส่งกระดาษโน้ตนี้ให้คนอื่นทำ powerpoint แทนได้เลย) ซึ่งความน่าสนใจในเล่มนี้อยู่ตรงที่ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน หรือวัยทำงาน ก็อ่านได้ทุกบท แถมยังมีการแนะนำด้วยว่าใครควรอ่านบทไหนเป็นพิเศษ หรือหากสนใจเพิ่มเติมก็ค่อยมาอ่านบทที่เหลือ ถือเป็นตัวช่วยในการอ่านที่ดีมากค่ะ
- ประเด็นหลักๆ สำคัญเลยก็คือ ไม่จดทุกสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน ไม่ลอกแบบคำต่อคำ ซึ่งนับว่าขัดกับการเรียนแบบไทยอยู่พอสมควรทีเดียว เพราะเด็กไทยเราคุ้นชินกับการจดตามครูบอกเป๊ะๆ ทุกคำ > การจดทุกอย่างที่เห็นหรืออ่านมาจะทำให้สมุดโน้ตไร้ประโยชน์ เพราะมองไปก็เห็นแต่ตัวหนังสือเป็นพรืดไปหมด ไม่มีจุดไหนสะดุดตาชวนให้จดจำหรืออ่านต่อ หรือช่วยกระตุ้นความจำได้เลย
- เน้นให้แบ่งพื้นที่สมุดเป็น 3 ส่วน (โดยวางสมุดไซส์ A4 เน้นให้ใหญ่หน่อย ตามแนวนอน) ส่วนบนสุด 3–5 ซม. จะเป็นประเด็นสรุปหรือหัวเรื่อง (คล้ายๆ พาดหัวข่าว หรืออ่านแล้วจับใจความได้ว่าหน้านี้กำลังพูดเรื่องอะไร) ส่วนด้านล่างฝั่งซ้ายและขวาก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ เช่น แบ่งเป็นข้อเท็จจริงกับบทวิเคราะห์ แบ่งเป็นปัญหากับแนวทางในการแก้ปัญหา แบ่งเป็นสถานการณ์ปัจจุบันกับแนวทางในอนาคต เป็นต้น
- ไม่ให้ใช้ปากกาหลายสีเกินไป ผู้เขียนบอกว่าจากงานวิจัย ปากกาประมาณ 3 สีจะดีที่สุด โดยตัวหนังสือพื้นฐานทั่วไปควรเป็นสีดำหรือน้ำเงิน (โดยสีน้ำเงินเน้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ด้วย) ส่วนที่อยากเน้นย้ำหรือแก้ไขเพิ่มเติม ก็ค่อยใช้ปากกาแดง จะทำให้แยกได้เด่นชัดขึ้น เพราะหากคุณใช้ปากกาหลายๆ สีลงไป แม้จะดูสวยดี แต่มองเผินๆ แล้วจะจับใจความสำคัญในหน้ากระดาษไม่ได้เลย
- กระดาษแบบสมุดกราฟนั้นเป็นที่นิยมเพราะแบ่งพื้นที่ได้ง่าย ชัดเจน มีเส้นช่วยในการวาดรูปต่างๆ เขียนกราฟ หรือแผนภูมิประกอบ ทำให้ย่อหน้าได้สวยเท่ากันด้วย
จุดที่ไม่ชอบในหนังสือเล่มนี้
- เนื้อหาดีและน่าสนใจ แต่เนื่องจากมีตัวอย่างน้อยไปหน่อย และตัวหนังสือในตัวอย่างเล็กมากๆ จึงทำให้อ่านยาก และยังเห็นภาพไม่ชัดเท่าที่ควรค่ะ ว่าจากเทคนิคที่แนะนำจะนำไปใช้จริงกับงานของเราได้อย่างไร แบบไหนบ้าง
ความคิดเห็นเพิ่มเติมเรื่องการจดโน้ต
- ส่วนตัวคิดว่าต้องฝึกฝนบ่อยๆ ในแบบของเราเอง และน่าจะได้วิธีเขียนโน้ต 3 ช่องแบบของตัวเองได้ในที่สุด (ซึ่งอาจจะไม่เป๊ะตามในหนังสือก็เป็นได้)
- การจดโน้ตช่วยได้มากเวลาเราตั้งใจว่าอ่านหนังสือแล้วจะจดโน้ตย่อไว้ทวนตอนใช้งาน หรือไปเรียนไปสัมมนาแล้วจะนำความรู้กลับมาใช้งานจริงจัง เพราะถ้าเราตั้งใจจด และมีสไตล์การจดแบบของตัวเอง (โดยเฉพาะถ้าจดลง ipad เป็นไฟล์) ไฟล์นั้นจะสามารถนำกลับมาใช้งานได้จริงๆ ส่งต่อคนอื่นก็อ่านเข้าใจได้ง่าย
- การจดเป็นไฟล์ช่วยได้ในกรณีที่คุณมีปัญหาการเก็บของในบ้าน (ถ้าเทคนิคคนโด มาริเอะ จะบอกว่า หนังสือหรือเอกสารจากงานสัมมนามักจะไม่ถูกเปิดใช้อีกหลังจากนั้น เก็บไว้ก็รังแต่จะรกบ้านเปล่าๆ) ล่าสุดเราเปลี่ยนไปใช้วิธีจดลง note ใน ipad รวมทั้งถ่ายรูปเอกสารเก็บไว้เป็นไฟล์ด้วย แบบนี้ก็จะช่วยให้จัดเก็บเอกสารได้ง่ายขึ้นมาก (หลายๆ แอพสามารถเขียนหรือ take note เพิ่มเติมจากไฟล์ pdf ของงานสัมมนาได้เลย ทำให้สะดวกยิ่งขึ้น)