สิ่งที่ได้จาก Super Productive Show by รวิศ หาญอุตสาหะ

Pui Sasakorn
2 min readSep 24, 2019

--

งานโชว์ดีๆ มีสาระที่มาพร้อมปรากฏการณ์ขายบัตรหมดเร็วยิ่งกว่าคอนฯ เกาหลี บัตรหมดภายใน 5 นาทีแรกที่เปิดขาย ส่วนตัวโชคดีมากที่ตั้งท่ารอตั้งแต่ 9.55 แล้วรีบกด เลยทำให้มีโอกาสได้ไปดูโชว์นี้เมื่อ 22 กันยายนที่ผ่านมา

ตั้งใจว่ากลับมาจะมาเขียนสรุปคร่าวๆ แบบที่เคยทำกับคอร์สเรียนต่างๆ แต่ต้องบอกเลยว่าโชว์นี้สมบูรณ์แบบได้ด้วยเนื้อหา ตัวอย่าง สไลด์ มุก และอารมณ์ร่วมของคนดูทั้งหมดจริงๆ เพราะฉะนั้นแค่เนื้อหาแบบคร่าวมากๆ ที่สรุปมานี้คงไม่ได้แม้เศษเสี้ยวของโชว์จริงๆ (แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะสรุปไว้แบ่งปันและเตือนตัวเองในอนาคตด้วย)

งานนี้เปิดด้วย Talk สั้นๆ ของคุณ Alexandra Reich ซีอีโอดีแทค ซึ่งมาแบบง่ายๆ พูดง่ายๆ ก่อนม่านเปิด

  • จริงๆ ส่วนตัวเธอไม่ชอบคำว่า productive เท่าไหร่ เพราะคิดว่ายุคต่อจากนี้ เรามีอะไรมาทำแทนเราได้เยอะแยะ มีโอกาสที่เราอาจจะทำงานเหลือแค่วีคละ 12 ชม. ในอนาคต ถ้าอย่างนั้นเราจะถามหาความ productive ไปทำไม
  • สิ่งที่เธอคิดว่าควรมีในยุคหน้า คือ creativity และ social skill อย่าง empathy ต่างหาก
  • ไฮไลท์ของเธอคือการบอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มสองคนที่มีความแตกต่างกันอย่างมากที่เธอรู้จัก คนหนึ่งเก่งทุกอย่าง ประสบความสำเร็จมาทุกอย่าง แต่เฟลแค่ครั้งเดียว คือโดนปฏิเสธเข้าบริษัทเจ๋งๆ ที่อยากเข้า จึงลงท้ายด้วยการฆ่าตัวตาย อีกคนมาไกลจากภูเขาในเนปาล พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ แต่สนุกกับการเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ในทุกๆ วันเมื่อมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เธออยากบอกเล่าให้เห็นชีวิตที่แตกต่างกันสองด้านนี้ และให้เรามีความสุขกับการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วัน

หลังจากนั้นม่านก็เปิด และงานก็เริ่มอย่างเป็นทางการ โดยคุณรวิศ Speaker หลักของงานนี้

  • ธีมโชว์บอกเล่าเรื่องราวเป็นตอนๆ โดยใช้การวิ่งมาราธอนมาเป็นธีม เริ่มที่กิโลที่ 0 ไปจนถึง 10, 21, 35, 42 km ว่าในแต่ละช่วงชีวิตเรา เราเจอกับอะไรบ้าง การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ การวางแผน การค่อยๆ ทำอะไรจนสำเร็จ การเจออุปสรรคต่างๆ
  • ทุกการทำอะไรใหม่ๆ เรามักจะเจอแรง 2 แบบ คือ Friction หรือแรงเสียดทาน และ Momentum ตอนเริ่มมันจะยากเพราะแรงเสียดทานมันเยอะ แต่เมื่อไหร่ที่ทำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องโมเมนตัมก็จะเกิดเอง เรื่องนี้ใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิตจริงๆ
  • คนเราชอบตั้ง New Year Resolution แต่มักทำไม่สำเร็จ เป็นเพราะเราตั้งไว้แค่เป้าปี แต่ไม่ได้แตกย่อยออกมาเป็นสิ่งที่ต้องทำ
  • โมเดล Dream > Year > Month > Hilight of the day คือการบอกว่า ถ้าเรามีฝันใหญ่ ให้เราแตกเป็น ปี เดือน และลงให้ได้ว่าวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง
  • เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน คุณรวิศเลยลงทุนทำ 30 day challenge for six pack เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการทำ Hilight of the day ให้เราเห็นว่า ถ้าเราตั้งเป้าจริงจัง เราก็จะสามารถไปถึงเป้าหมายได้
  • เทคนิคง่ายๆ เพื่อทำฝันให้สำเร็จ มาเป็นตัวย่อ S U P E R
  1. Start with WHY : เริ่มต้นด้วยการตอบให้ได้ว่าทำไมเราถึงอยากได้สิ่งนี้ แนวคิดนี้มาจาก golden circle ของคุณ Simon Sinek นั่นเอง ถ้าเราตอบ why ได้ how, what ก็จะตามมาเอง
  2. Unhook : จัดการกับสภาพแวดล้อมให้ได้ อยากลดความอ้วนก็ต้องไม่เอาของอ้วนๆ มาใส่ไว้ในตู้เย็น ช่วงเวลาที่เราควบคุมตัวเองได้ดีก็ไม่มีปัญหา แต่ช่วงเวลาที่เราเหนื่อยๆ เราจะต้านทานมันไม่ไหว ใครที่บอกว่าตัวเองไม่มีเวลา ก็ลองดูพฤติกรรมการใช้มือถือของตัวเองก็ได้ ถ้าเรางด social media หลายๆ อัน เราก็จะได้เวลากลับคืนมาเยอะมาก ทำได้ง่ายๆ ด้วยการลบแอพบางแอพออกจากมือถือไปซะ
  3. Prioritize : การจัดการเรื่องด่วน ไม่ด่วน สำคัญ ไม่สำคัญ โดยเน้นทำเรื่องไม่ด่วนแต่สำคัญให้ได้ เพื่อมันจะได้ไม่กลายเป็นเรื่องสำคัญแต่ด่วนในที่สุด เพราะจะทำให้เราต้องดับเพลิงตลอดเวลา แทนที่จะมีเวลาวางแผนทำให้มันดีๆ
  4. Energize : การเติมพลังให้กับร่างกาย เน้นหลัก eat move sleep (like a caveman) ทำตัวให้เหมือนมนุษย์ยุคหิน กินอะไรที่มนุษย์ยุคนั้นเห็นแล้วรู้ว่าคืออะไร (ของ processed food คือควรหลีกเลี่ยงซะ) เคลื่อนไหวให้มาก และนอนให้เพียงพอ
  5. Rest : พักผ่อน เวลาจัด Time Boxing สิ่งแรกที่คุณรวิศใส่ลงไปในตารางคือเรื่องของการพักผ่อน

งานนี้มีแขกรับเชิญอีก 2 ท่าน คนแรกคือคุณต้อง กวีวุฒิ (เจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง) ซึ่งมาในฐานะของพนักงานประจำที่ยังสามารถทำอะไรได้เยอะแยะมากมาย

คุณต้องมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตตัวเอง และสรุปง่ายๆ ออกมาเป็น 3 ข้อคือ

  • อยากทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะทำอะไร > หารักแรกให้เจออีกครั้ง คือ หาว่าเราชอบอะไร มีอะไรที่ทำแล้วช่วยเติมพลังชีวิตให้เราได้บ้าง
  • รู้แล้วว่าจะทำอะไร แต่ไม่มีเวลา > ให้ปรับ mindset ใหม่ว่า ฉันไม่มีเวลา = ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับ… คนเรามีเวลาเท่ากัน ถ้าคุณไม่มีเวลาให้อะไร แปลว่าคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นจริงๆ หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากไปกว่า… สิ่งอื่น
  • รู้แล้ว มีเวลาแล้ว จะเริ่มยังไงดี > ให้ลองติดต่อ weak ties ของคุณดู (ในชีวิตคนเราจะมีกลุ่มคนใกล้ชิด เรียกว่า strong ties เช่น พ่อแม่พี่น้อง หัวหน้า เพื่อนสนิท ส่วนคนที่ไกลออกไป เช่น เพื่อนของเพื่อน คนที่เราอาจจะรู้จักเค้าแล้วสามารถหาวิธีเชื่อมโยงได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ) คนกลุ่ม weak ties นี้จะทำให้คุณเห็นมุมมองใหม่ๆ หรือช่วยให้คุณเริ่มอะไรบางอย่างได้
  • อีกเรื่องนึงที่ชอบจากที่คุณต้องเล่าคือ… ชีวิตคนเราเหมือนสนามฟุตบอล เราเป็นคนเล่นอยู่ในนั้น แต่มีอีกหลายคนดูอยู่นอกสนาม คนดูเห็นภาพรวมทั้งหมด อาจจะวิจารณ์การเล่นได้สารพัด แต่คนเล่นเห็นภาพแค่มุมเดียวจากตาตัวเอง (เราควรจะใส่ใจกับคำพูดของคนดูให้น้อยๆ ลงบ้าง)

แขกรับเชิญคนที่สอง คือ คุณเอ๋ นิ้วกลม

  • คาถาคำนึงที่คุณเอ๋ได้มาจากคุณชิงชิง ก็คือคำว่า “...บ้างก็ได้” คือการยอมผ่อนปรนให้ตัวเองบ้างในบางเรื่อง เพราะหลายครั้งชีวิตก็อาจจะไม่ต้องตึงมากก็ได้
  • คุณเอ๋ยกตัวอย่างฟาร์มเมลอนในญี่ปุ่น ซึ่งเลือกตัดลูกเมลอนออกจากต้น ให้เหลือเพียงแค่ต้นละ 1 ลูก ทำให้เมลอนลูกนั้นได้สารอาหารอย่างเต็มที่ที่สุด และเมลอนจากฟาร์มนี้ขายได้ราคาดีมากๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับชีวิตเรา ให้ลองหาสิ่งที่เราอยากโฟกัสจริงๆ แล้วให้ให้ความสำคัญกับมัน เหมือนมันเป็นลูกเมลอนลูกเดียวบนต้นของคุณ

คร่าวๆ ที่เราจำได้ ก็จะประมาณนี้ น่าจะมีตกหล่นไปเยอะมาก เพราะนั่งฟังโดยไม่ได้จด ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย (ถ่ายมาแค่ใบเดียวจริงๆ) หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่เข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ

--

--

Pui Sasakorn
Pui Sasakorn

Written by Pui Sasakorn

นักฝัน นักอ่าน นักเดินทาง นักทำหนังสือ ที่ยังคงมีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

Responses (1)